ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กลายเป็น “เรื่องร้อน” ขึ้นมาในฉับพลัน เมื่อมีกระแสข่าวที่ได้รับการยืนยันออกมาว่า “ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยและต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่มาเป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว
และผู้ที่ยืนยันก็คือ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมกับมีคำสั่งแต่งตั้ง พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ไปรักษาราชการแทน ส่วนตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอหลังจากนี้จะมีความชัดเจนต่อเมื่อ พ.ต.อ.ไพสิฐยื่นใบลาออก ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือนเมษายนนี้
เหตุที่ร้อนก็ด้วยดีเอสไอนั้นเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย มีอำนาจในการทำคดีที่ไม่ต่างอะไรจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่าใดนัก และที่ผ่านมา “บิ๊กบอส” ของหน่วยงานนี้ก็มักเข้ามาพัวพันกับคดีใหญ่คดีโต ทั้งคดีทั่วไปและคดีทางการเมืองมาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งคนที่สังคมไทยรู้จักกันมากที่สุดเห็นทีจะหนีไม่พ้น “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ผู้โด่งดัง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่ “จับตา” ว่า เก้าอี้อธิบดีดีเอสไอคนถัดจาก พ.ต.อ.ไพสิฐจะเป็นใคร จะมาจาก “ลูกหม้อ” ภายในองค์กร หรือ “ข้ามห้วย” มาเหมือนเช่นที่เป็นมาในอดีต
กล่าวสำหรับ พ.ต.อ.ไพสิฐเมื่อปลายปี 2562 ที่ผ่านมาเพิ่งจะได้รับ “ไฟเขียว” จาก “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชงเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) นั่งเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอต่ออีก 1 ปี ซึ่ง ครม.ก็อนุมัติตามที่เสนอมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วและจะนั่งเก้าอี้ต่อไปถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563
ในยุคอธิบดีไพสิฐมีคดีความและเรื่องร้อนๆ มาอยู่ในมือมากมาย และส่วนมากก็เป็น “คดีใหญ่” ที่อยู่ในความสนใจของสังคม พฤติกรรมการกระทำความผิด มีความซับซ้อน มูลค่าความเสียหายคิดเป็นเงินจำนวนมาก ที่สำคัญมักเป็นคดีที่มี “ผู้มีอิทธิพล” ในวงการต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงต้นปี 2560 ที่ต้องรับผิดชอบในการสอบสวนดำเนินคดี “ธัมมชโย” อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย กรณีได้รับเงินที่เกิดจากการทุจริตของ อดีตผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กว่า 1,400 ล้านบาท ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร แต่สุดท้าย “ธัมมชโย” ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ศาลต้องออกหมายจับและหลบหนีไปได้ ถึงวันนี้ก็ยังปิดคดีไม่ลง
คดีธรรมกายว่าหนักแล้ว ยังมีคดี แชร์ลูกโซ่ “แชร์ฟอเร็กซ์ 3-ดี” ที่มีความซับซ้อน มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาประกอบกระบวนการโกง การฟอกเงิน หรือ “แชร์แม่มณี” ที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก
หนักที่สุดที่คนใกล้ชิดบอกว่า พ.ต.อ.ไพสิฐเครียดมากก็เห็นจะเป็นกรณี การเสียชีวิตของ “นายธวัชชัย อนุกูล” อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพังงา สาขาท้ายเหมือง ผู้ต้องหาที่ใช้ถุงเท้าผูกคอกับบานพับประตูภายในห้องขัง ของอาคารดีเอสไอ เสียชีวิต เรื่องนี้ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก
ด้วยปรากฏว่า กล้องวงจรปิดกลับไม่สามารถจับภาพเหตุการณ์มาปะติดปะต่อกันได้ จึงเกิดความสงสัยแก่ประชาชนในวงกว้างว่า เหตุใดองค์กรปราบปรามคดีพิเศษ ถึงมีเครื่องไม้เครื่องมือชำรุดทรุดโทรมเสื่อมสภาพ จนส่งผลให้ชาวบ้านเกิดจินตนาการความคิดไปต่างๆนานาทั้งในแง่ลบและแง่บวกอย่างไม่ต้องสงสัย กระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์กับหน่วยงานเต็มใบ
แถมจากการตรวจชันสูตรพลิกศพของสถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ ปรากฏว่าสาเหตุการเสียชีวิตอดีตเจ้าหน้าที่กรมที่ดินพังงาพบ ภาวะตับแตก เลือดออกในช่องท้องและขาดอากาศหายใจ และสุดท้ายศาลได้มีคำสั่งแล้วว่าผู้ตายเสียชีวิตเพราะมีบุคคลอื่นทำให้ตาย
อีกเรื่องที่ทำให้ พ.ต.อ.ไพสิฐ เกิดความเครียดหนัก ก็คือคดีเกี่ยวกับการเล่นหุ้นแบบ “หวือหวา” ที่สำนักงาน ก.ล.ต.คนคุมกฎตลาดหุ้น ส่งมากี่คดีต่อกี่คดีก็ถูกดีเอสไอ “เป่า” ตียกประโยชน์ให้บรรดาขาใหญ่ตลาดหุ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับเจ้าของฉายา “จอมยุทธ์ไร้รอย”
รวมถึงคดีค้ามนุษย์ “วิกตอเรีย ซีเครท” ของ “เสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์” ที่สืบไปสืบมาดันไปเชื่อมโยงกับ “จอมยุทธ์ไร้รอย” หรือที่ทุกวันนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ท่านประธานหวือหวา” เสียนี่ ด้วย “เสี่ยกำพล” เคยถือหุ้นใน “บริษัทพ่อ” ของท่านประธานหวือหวา
เอาแค่การตั้ง “มือปราบบิลลี่-พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร” มารักษาการแทน ก็คงทำให้ “ท่านประธานหวือหวา” กินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่พอสมควรกลัวจะมีการรื้อคดีขึ้นมาใหม่ ยิ่งถ้า “อธิบดีคนต่อไป” เดินหน้าแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมด้วยแล้ว ก็น่าจะเครียดกัน “ทั้งผัวทั้งเมีย”
ส่วน “ตัวเต็ง” เก้าอี้ตัวนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะเป็น “ลูกหม้อ” หรือ “คนนอก” ดีเอสไอ เพราะสามารถย้ายสลับขั้วสลับตำแหน่งกันในกระทรวงยุติธรรมได้ตลอดเวลา และดีเอสไอก็เคยเกิดกรณีนี้มาแล้ว
กรณี “ลูกหม้อ” ถ้าสำรวจตรวจตรา “รองอธิบดี” ณ เวลานี้ ก็มีอยู่ 2 คนคือ นพ.ไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ และ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล โดยที่ผ่านมาในช่วงที่ พ.ต.ท.ไพสิฐเจ็บป่วย ดีเอสไอแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยแบ่งภารกิจให้พ.ต.ท.ปกรณ์ กับนพ.ไตรยฤทธิ์ ผลัดกันรักษาการอธิบดี คนละ 1 สัปดาห์ ซึ่งทั้งสองคนก็แลดูจะมีภาษีพอสมควร โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ปกรณ์
ส่วนคนนอกยังไม่เป็นที่แน่ชัด ถ้าเป็นคนนอกที่เคยเป็นคนเก่าดีเอสไออย่าง พ.ต.ท. กรวัชร์ ปานประภากร ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งทุกรายชื่อล้วนมีประสบการณ์ในงานด้านสืบสวนสอบสวนคดี และผ่านเก้าอี้รองอธิบดีดีเอสไอมาแล้วทุกคน
อย่างไรก็ดี ชื่อ พ.ต.อ.ณรัชต์และพ.ต.อ.ดุษฎีน่าจะตกไป เพราะทั้งสองคนเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2563 นี้ ส่วน พ.ต.ท.วรรณพงษ์ดูทรงแล้วน่าจะไม่ผ่านด่านทางการเมือง เพราะฉะนั้นดูทรงแล้ว พ.ต.ท. กรวัชร์น่าจะมีโอกาสดีกว่าเพื่อน เพราะเพิ่งได้รับการแต่งตั้งจาก “รัฐมนตรียุติธรรม” ให้มารักษาการเก้าอี้ตัวนี้
ทว่า อะไรๆ ก็ไม่แน่นอน และเกิดขึ้นได้เสมอในยามนี้
ที่สำคัญคือ ต้องไม่ลืมว่า “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคือ ประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เพราะฉะนั้นอธิบดีดีเอสไอคนใหม่ย่อมต้องผ่านความเห็นชอบจาก “ลุงตู่” ด้วย
งานนี้ คงต้องจับตากันต่อไปว่า “ใคร” จะเข้าป้ายเป็น “อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษคนใหม่ แต่บอกได้เลยว่า ใครที่มีชื่ออยู่ใน “ลิ้นชักคดีของดีเอสไอ” คงต้องหนาวๆ ร้อนๆ กันเป็นแน่แท้.