ผู้จัดการรายวัน 360- ศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมาก มีมติ "ป.อาญา ม.301" กรณีหญิงทำแท้งผิดกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ แต่ให้มีผล 360 วัน หลังมีคำวินิจฉัย พร้อมแนะแก้ไข ม.301-ม.305 ให้สอดคล้องสภาพการณ์
วานนี้ ( 19 ก.พ.) ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องกรณี น.ส.ศรีสมัย เชื้อชาติ ขอให้ศาลฯ วินิจฉัยตามรธน. มาตรา 213 กรณีประมวลกฎหมายอาญา(ป.อาญา) ม.301 ขัดหรือแย้งต่อ รธน. มาตรา 27 และ 28 หรือไม่ และป.อาญา มาตรา 305 ขัดหรือแย้งต่อรธน. มาตรา 27 มาตรา 28 และ มาตรา 77 หรือไม่ โดยมติเสียงข้างมากเห็นว่า ป.อาญา มาตรา 301 ที่บัญญัติว่า “หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนเองแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นั้น ขัดรธน. มาตรา 27 และ 28 และเสียงข้างมากเห็นว่า ป.อาญา มาตรา 305 ที่บัญญัติว่า "ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวใน มาตรา 301 และ 302 เป็นการกระทำของแพทย์ และ (1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น (2) หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 282 มาตรา 283 หรือมาตรา 284 ผู้กระทำไม่มีความผิด”นั้น ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 27 28 และมาตรา 77
แต่ทั้งนี้เสียงข้างมากก็เห็นว่าสมควรที่จะมีการปรับปรุงแก้ไขป.อาญา มาตรา 301 และมาตรา 305 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ซึ่งศาลได้กำหนดคำบังคับโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 74 ให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่วินิจฉัยว่าป. อาญา มาตรา 301 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้น มีผลเมื่อพ้น 360 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมาตรา 27 และ 28 ของรัฐธรรมนูญนั้น เป็นบทบัญญัติที่กำหนดว่าบุคคลชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมเสมอกันในทางกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยความแตกต่างในเรื่องของถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ เพศ ภาษา สภาพทางกาย หรือสุขภาพ ความคิดเห็นทางการเมือง อันไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จะกระทำไม่ได้ ส่วนมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญนั้น เป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้รัฐต้องจัดให้มีกฎหมาย หรือยกเลิกปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต โดยไม่ชักช้า เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อประชาช
อย่างไรก็ตามสำหรับ น.ส.ศรีสมัย เชื้อชาติ เป็นแพทย์ในเครือข่ายแพทย์อาสาเพื่อยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามกฎหมาย และเปิดคลินิก"ศรีสมัยการแพทย์ "ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2561 เคยถูกตำรวจ สภ.หัวหิน บุกเข้าจับกุมเนื่องจากสงสัยว่าเปิดทำแท้งผิดกฎหมาย หลังพบว่ามีชายนำถุงดำใส่ศพเด็กทารก 4 ราย ไปทิ้งในถังขยะ แต่ น.ส.ศรีสมัย อ้างว่าได้รับอนุญาตจากสำนักอนามัยการเจริญพันธ์ ของกรมอนามัย ในการทำแท้ง และได้ทำถูกต้องตามระเบียบการทำแท้งของแพทยสภา โดยทำแท้งให้กับหญิงที่ไม่พร้อมตั้งครรภ์ เนื่องจากถูกข่มขืนกระทำชำเรา หรือแม่เป็นเอดส์ ซึ่งต่อมา น.ส.กฤตยา อาชวนิจกุล ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ศาลมีคำวินิจฉัยในวันนี้ โดยอ้างถึงการที่ น.ส.ศรีสมัย ถูกจับกุมและถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิด ทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ตามป.อาญามาตรา 302 แต่ก่อนที่ศาลจะมีการพิจารณา น.ส.กฤตยา ได้มีการถอนคำร้องออกไปโดยอ้างว่าต้องการจะทำคำร้องให้สมบูรณ์มากกว่านี้ ศาลจึงมีคำสั่งเมื่อ 17 ต.ค. 2561 ให้จำหน่ายคดี
ทั้งนี้ ตามคำร้องเดิมของ น.ส.กฤตยา ระบุว่า ป.อาญา มาตรา 301 บัญญัติมุ่งลงโทษแต่เฉพาะหญิงที่มุ่งทำแท้งเป็นสำคัญ ทั้งที่การตั้งครรภ์ไม่ได้เกิดจากการกระทำของหญิงเพียงฝ่ายเดียว แต่ชายที่มีสัมพันธ์กับหญิงต้องร่วมรับผิดและถูกลงโทษด้วย จึงเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวทำให้ชายและหญิงไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 27 มาตรา 28 กำหนด ส่วน ป.อาญา มาตรา 305 ก็ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ ไม่เท่าทันเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน ที่เน้นการใช้ยายุติการตั้งครรภ์ แทนการใช้หัตถการทางการแพทย์ อีกทั้งยังมุ่งคุ้มครองเฉพาะการกระทำของแพทย์ ไม่ครอบคลุมบุคคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ที่ให้บริการภายใต้การควบคุมของแพทย์ จึงไม่สอดคล้องรัฐธรรมนูญมาตรา 77 สมควรมีการแก้ไขให้ครอบคลุมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้อยู่ภายใต้ความควบคุมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และมีข้อยกเว้นให้กระทำได้โดยไม่มีความผิด หากอายุครรภ์ของหญิงนั้นไม่ถึง 12 สัปดาห์ หรือการตั้งครรภ์มีผลกระทบต่อจิตใจของหญิงนั้น หรือตัวอ่อนในครรภ์มีความพิการ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคทางพันธุกรรม
ทั้งนี้ในการพิจารณาของศาลเห็นว่า ป.อาญา ม.301 ขัดรธน.เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติ มุ่งเอาผิดแต่กับผู้หญิง ทั้งที่ฝ่ายชายควรต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งการที่ศาลฯมีคำวินิจฉัยกดังกล่าว ไม่ใช่สนับสนุนให้มีการทำแท้งเสรี เพราะมีคำบังคับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปปรับแก้กม. ทั้งม.301 และ 305 ให้สอดคล้องกับสภาพการปัจจุบัน อย่าให้เป็นการทำแท้งเสรี หรือเป็นการเอากม.อาญา มาลงโทษผู้หญิงแต่เพียงฝ่ายเดียว
วานนี้ ( 19 ก.พ.) ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องกรณี น.ส.ศรีสมัย เชื้อชาติ ขอให้ศาลฯ วินิจฉัยตามรธน. มาตรา 213 กรณีประมวลกฎหมายอาญา(ป.อาญา) ม.301 ขัดหรือแย้งต่อ รธน. มาตรา 27 และ 28 หรือไม่ และป.อาญา มาตรา 305 ขัดหรือแย้งต่อรธน. มาตรา 27 มาตรา 28 และ มาตรา 77 หรือไม่ โดยมติเสียงข้างมากเห็นว่า ป.อาญา มาตรา 301 ที่บัญญัติว่า “หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนเองแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นั้น ขัดรธน. มาตรา 27 และ 28 และเสียงข้างมากเห็นว่า ป.อาญา มาตรา 305 ที่บัญญัติว่า "ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวใน มาตรา 301 และ 302 เป็นการกระทำของแพทย์ และ (1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น (2) หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 282 มาตรา 283 หรือมาตรา 284 ผู้กระทำไม่มีความผิด”นั้น ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 27 28 และมาตรา 77
แต่ทั้งนี้เสียงข้างมากก็เห็นว่าสมควรที่จะมีการปรับปรุงแก้ไขป.อาญา มาตรา 301 และมาตรา 305 เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ซึ่งศาลได้กำหนดคำบังคับโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 74 ให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่วินิจฉัยว่าป. อาญา มาตรา 301 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้น มีผลเมื่อพ้น 360 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมาตรา 27 และ 28 ของรัฐธรรมนูญนั้น เป็นบทบัญญัติที่กำหนดว่าบุคคลชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมเสมอกันในทางกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยความแตกต่างในเรื่องของถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ เพศ ภาษา สภาพทางกาย หรือสุขภาพ ความคิดเห็นทางการเมือง อันไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จะกระทำไม่ได้ ส่วนมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญนั้น เป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้รัฐต้องจัดให้มีกฎหมาย หรือยกเลิกปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต โดยไม่ชักช้า เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อประชาช
อย่างไรก็ตามสำหรับ น.ส.ศรีสมัย เชื้อชาติ เป็นแพทย์ในเครือข่ายแพทย์อาสาเพื่อยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามกฎหมาย และเปิดคลินิก"ศรีสมัยการแพทย์ "ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2561 เคยถูกตำรวจ สภ.หัวหิน บุกเข้าจับกุมเนื่องจากสงสัยว่าเปิดทำแท้งผิดกฎหมาย หลังพบว่ามีชายนำถุงดำใส่ศพเด็กทารก 4 ราย ไปทิ้งในถังขยะ แต่ น.ส.ศรีสมัย อ้างว่าได้รับอนุญาตจากสำนักอนามัยการเจริญพันธ์ ของกรมอนามัย ในการทำแท้ง และได้ทำถูกต้องตามระเบียบการทำแท้งของแพทยสภา โดยทำแท้งให้กับหญิงที่ไม่พร้อมตั้งครรภ์ เนื่องจากถูกข่มขืนกระทำชำเรา หรือแม่เป็นเอดส์ ซึ่งต่อมา น.ส.กฤตยา อาชวนิจกุล ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ศาลมีคำวินิจฉัยในวันนี้ โดยอ้างถึงการที่ น.ส.ศรีสมัย ถูกจับกุมและถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำความผิด ทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ตามป.อาญามาตรา 302 แต่ก่อนที่ศาลจะมีการพิจารณา น.ส.กฤตยา ได้มีการถอนคำร้องออกไปโดยอ้างว่าต้องการจะทำคำร้องให้สมบูรณ์มากกว่านี้ ศาลจึงมีคำสั่งเมื่อ 17 ต.ค. 2561 ให้จำหน่ายคดี
ทั้งนี้ ตามคำร้องเดิมของ น.ส.กฤตยา ระบุว่า ป.อาญา มาตรา 301 บัญญัติมุ่งลงโทษแต่เฉพาะหญิงที่มุ่งทำแท้งเป็นสำคัญ ทั้งที่การตั้งครรภ์ไม่ได้เกิดจากการกระทำของหญิงเพียงฝ่ายเดียว แต่ชายที่มีสัมพันธ์กับหญิงต้องร่วมรับผิดและถูกลงโทษด้วย จึงเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวทำให้ชายและหญิงไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 27 มาตรา 28 กำหนด ส่วน ป.อาญา มาตรา 305 ก็ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ ไม่เท่าทันเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน ที่เน้นการใช้ยายุติการตั้งครรภ์ แทนการใช้หัตถการทางการแพทย์ อีกทั้งยังมุ่งคุ้มครองเฉพาะการกระทำของแพทย์ ไม่ครอบคลุมบุคคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ที่ให้บริการภายใต้การควบคุมของแพทย์ จึงไม่สอดคล้องรัฐธรรมนูญมาตรา 77 สมควรมีการแก้ไขให้ครอบคลุมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้อยู่ภายใต้ความควบคุมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และมีข้อยกเว้นให้กระทำได้โดยไม่มีความผิด หากอายุครรภ์ของหญิงนั้นไม่ถึง 12 สัปดาห์ หรือการตั้งครรภ์มีผลกระทบต่อจิตใจของหญิงนั้น หรือตัวอ่อนในครรภ์มีความพิการ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคทางพันธุกรรม
ทั้งนี้ในการพิจารณาของศาลเห็นว่า ป.อาญา ม.301 ขัดรธน.เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติ มุ่งเอาผิดแต่กับผู้หญิง ทั้งที่ฝ่ายชายควรต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งการที่ศาลฯมีคำวินิจฉัยกดังกล่าว ไม่ใช่สนับสนุนให้มีการทำแท้งเสรี เพราะมีคำบังคับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปปรับแก้กม. ทั้งม.301 และ 305 ให้สอดคล้องกับสภาพการปัจจุบัน อย่าให้เป็นการทำแท้งเสรี หรือเป็นการเอากม.อาญา มาลงโทษผู้หญิงแต่เพียงฝ่ายเดียว