เมื่อ “ทรัมป์ 1” ดันต้องโคจรมาเจอ มาวัดช่วงชกกับ “ทรัมป์ 2” อะไรจะเกิดขึ้น??? อันนี้...ถ้าหากเป็นมวยไทย ก็น่าจะประมาณ “มวยคู่เอก” ใน ศึกวันทรงชัย” นั่นแหละทั่น!!! คือ “ทรัมป์ 1” นั้น ย่อมหนีไม่พ้นไปจาก “ทรัมป์บ้า” เจ้าของทรงผมเชิงหมาแหงน ผู้นำอเมริกาเขานั่นแหละ ส่วน “ทรัมป์ 2” ที่ว่ากันว่า...มีบุคลิก ลีลา แทบไม่ต่างไปจาก “ทรัมป์บ้า” ก็คงต้องเป็น “นายบอริส จอห์นสัน” ผู้แทบไม่เคยหวีผม หรือเจ้าของทรงผมทรงกระเซิง นายกรัฐมนตรีอังกฤษนั่นเอง...
มวยคู่นี้...อันที่จริงน่าจะมาจากค่ายเดียวกัน คือค่าย “แองโกล-อเมริกัน” อันเป็นค่ายที่บรรดาพวกที่หลงใหลได้ปลื้มกับความเป็นฝรั่งผิวขาว หรือที่เรียกๆ กันว่าพวก “White Supremacy” เคยฝันหวานมานานแล้วและโดยตลอด ว่าควรจะเป็นผู้ครองโลก หรือเป็น “รัฐบาลโลก” เพื่อปกครองดูแลพวกที่ไม่ใช่ผิวขาว หรือพวกที่ไม่ใช่ชาวตะวันตก อันเป็นมวลมนุษย์ที่ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ฉลาด เหมือนบรรดาฝรั่งทั้งหลาย การถอนตัวออกจากความเป็นส่วนหนึ่งของ “สหภาพยุโรป” ของอังกฤษ หรือที่เรียกๆ กันว่าเบร็กส่ง เบร็กซิต อะไรก็แล้วแต่ โดยมีแนวโน้มที่จะหันมารับใช้ใกล้ชิดกับอเมริกา อันเป็นสิ่งที่ผู้นำอังกฤษอย่าง “นายบอริส จอห์นสัน” แสดงให้เห็นมาโดยตลอด จึงทำให้ใครต่อใครเคยคิดๆ กันไปว่า โอกาสที่จะได้เห็น “รัฐบาลโลก” ตามแบบ “แองโกล-อเมริกัน” ที่ว่า อาจอุบัติขึ้นมาในอีกไม่นาน-ไม่ช้า นับจากนี้...
แต่เผอิญภายใต้แนวโน้มที่ว่า...ดันมี “บริษัทจีน” อย่างบริษัท “หัวเว่ย” เข้ามาชำแรกแทรกซ้อนขึ้นมาซะนี่!!! คือระหว่างที่ “ทรัมป์ 1” หรือ “ทรัมป์บ้า” กำลังคิดเล่นงาน กำลังหาทางเหยียบ หาทางกระทืบ บริษัทธุรกิจสื่อสารของจีน ที่ถือเป็นผู้นำเทคโนโลยี 5G อย่างมันส์ส์ส์มือ มันส์ส์ส์ตีน มาโดยตลอด ไม่ว่าภายใน หรือภายนอกประเทศอเมริกา พยายามยุแยงตะแคงรั่วให้บรรดาประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะ “พันธมิตร” ของอเมริกา เลิกใช้ เลิกยุ่งเกี่ยวกับบริษัทจีนอย่าง “หัวเว่ย” ชนิดไม่ต่างอะไรไปจากการทำ “สงคราม” เอาเลยก็ว่าได้ แต่สำหรับบรรดาพันธมิตรในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ ภายใต้การนำของ “ทรัมป์ 2” หรือของ “นายบอริส จอห์สัน” กลับไม่คิดจะเอาด้วย หรือไม่เห็นควรด้วย เอาดื้อๆ “ทรัมป์ 1” กับ “ทรัมป์ 2” เลยต้องหันมาฉะกันเอง หรือต้องโดดขึ้นเวที “ศึกวันทรงชัย” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย...
ตามข่าวคราวที่เว็บไซต์ข่าวธุรกิจ การเงิน อันทรงอิทธิพลของอเมริกา “Business Insider” ได้นำมาเปิดเผยเมื่อช่วงวันจันทร์ (17 ก.พ.) ที่ผ่านมา พอสรุปใจความได้ว่า นอกจากผู้นำอเมริกาจะโทรศัพท์สั่งการจากเครื่องบินประจำตำแหน่ง “แอร์ฟอร์ซ วัน” ให้เอกอัครราชทูตอเมริกันประจำประเทศเยอรมนี ออกมาขู่บรรดาประเทศต่างๆ ในยุโรป ว่าการเปิดช่อง เปิดทางให้กับบริษัทเทคโนโลยีสื่อสารของจีน อย่างบริษัท “หัวเว่ย” นั้น จะทำให้เกิด “ความเสี่ยง” ในการ “แบ่งปันข้อมูลด้านข่าวกรอง” กับอเมริกา หรือทำให้ต้องถูกตัดญาติขาดมิตรกันในด้านการข่าว อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ “ทรัมป์บ้า” หรือ “ทรัมป์ 1” ยังได้ต่อสายโดยตรงไปยัง “ทรัมป์ 2” เพื่อสั่งการในเรื่องทำนองนี้อีกต่างหาก แต่เมื่อ “บ้าเจอบ้า” การข่มขู่ หรือการอาศัย “ลูกบ้า” ของ “ทรัมป์ 1” นอกจากจะไม่ได้บังเกิดผลใดๆ แล้ว ยังส่งผลให้ “ทรัมป์ 2” ออกอาการฉุนขาดซะอีกต่างหาก โดยเฉพาะเมื่อถูก “ทรัมป์ 1” วางหูโทรศัพท์ใส่หูเอาดื้อๆ...
การประกาศยกเลิกกำหนดการเดินทางไปเยือนอเมริกาของผู้นำอังกฤษ ในเดือนมีนาคมที่เคยกำหนดเอาไว้แล้ว จึงถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด หรือจนกว่าจะถึงช่วงฤดูร้อนโน่นเลย และยังส่งผลลุกลามไปถึงประเทศอดีตอาณานิคมของอังกฤษอย่างออสเตรเลีย ที่หันมาถือหางอเมริกาในกรณีการทำสงครามกับ “หัวเว่ย” แบบพร้อมจะลงห้วย ลงเหวได้ทุกเมื่อ หรือทำให้คณะกรรมาธิการการข่าวและความมั่นคงแห่งรัฐสภาออสเตรเลีย ที่เคยกำหนดการว่าจะเดินทางไปเยือนประเทศอังกฤษในเดือนเมษายนที่จะถึง ตัดสินใจยกเลิกหมายกำหนดการเอาดื้อๆ ตามรายงานข่าวที่หนังสือพิมพ์ออสเตรเลีย “Sydney Morning Herald” ได้ระบุเอาไว้...
ด้วยลักษณะอาการเช่นนี้ อาจพอสรุปได้ว่า...ความเป็น “แองโกล-อเมริกัน” หรือความเป็นฝรั่งผิวขาว ที่เคยก่อให้เกิดความหลงใหลได้ปลื้มต่อบรรดาพวก “White Supremacy” ทั้งหลาย มาถึง ณ ขณะนี้...ก็พอสะท้อนให้เห็นถึงรอยแยก รอยแตก อยู่พอสมควร โดยเฉพาะระหว่างผู้นำอเมริกากับผู้นำอังกฤษ หรือระหว่าง “ทรัมป์ 1” กับ “ทรัมป์ 2” ที่ต่างก็มี “ลูกบ้า” ด้วยกันทั้งคู่ ส่วนอะไรที่ทำให้ “ทรัมป์ 2” หรือทำให้นายกรัฐมนตรีอังกฤษ อย่าง “นายบอริส จอห์สัน” ถึงกล้าหือกล้าสวนลูกบ้ากับ “ทรัมป์ 1” อย่างชนิด “บ้าก็บ้าวะ” ด้วยการเปิดช่อง เปิดทาง ให้บริษัทจีนอย่าง “หัวเว่ย” เข้าไปมีส่วนรวมในการพัฒนาเครือข่ายระบบ 5G ในอังกฤษนั้น สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนว่าคอลัมนิสต์ของ “เอเชียไทมส์” อย่าง “นายเดวิด พี. โกลด์แมน” จะตอบคำถามเอาไว้ได้ชัดเจนเอามากๆ ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “Why the US is losing its war against Huwei” ที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานำมาแปลและถ่ายทอดในชื่อว่า “ทำไมสหรัฐฯ กำลังพ่ายแพ้ในสงครามต่อต้านหัวเว่ย” เมื่อช่วงวันอังคาร (18 ก.พ.) ที่ผ่านมา ใครที่อยากรู้รายละเอียดลองคลิกไปอ่านกันเอาเองก็แล้วกัน...
แต่ถ้าสรุปโดยคร่าวๆ ก็คงประมาณว่า...น่าจะเป็นเพราะชาวผิวเหลือง หรือ “มังกรจีน” อย่างบริษัทหัวเว่ยนั้น ได้เลื้อยไปฟักไข่ หรือไปสร้างรากฐานอยู่ใน “โครงสร้างทางวิศวกรรมโทรคมนาคม” ของเกาะอังกฤษมานานแล้ว ถึงขนาดว่าจ้างให้อดีตประธานความมั่นคงด้านข้อมูลข่าวสารของอังกฤษ เป็นผู้ควบคุมดูแลธุรกิจของหัวเว่ยในอังกฤษมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 โน่นเลย เคยอัดเงินลงทุนระดับนับเป็นพันๆ ล้านปอนด์ ให้กับประเทศอังกฤษ มากซะยิ่งกว่าการไปหาซื้อสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ ลีค ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ความเป็นชาวผิวเหลือง หรือผิวขาว มันจึงแทบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องเงินๆ-ทองๆ เรื่องของ “ผลประโยชน์” หรือ “กำไร” ที่ย่อมอยู่เหนือไปกว่าความเป็นเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใดๆ ด้วยกันทั้งสิ้น...
ยิ่งในช่วงจังหวะที่ “ความเป็นฝรั่ง” หรือ “ความเป็นตะวันตก” มันชักออกอาการ “Westlessness” หรือออกอาการเสื่อมถอย เสื่อมโทรม จนต้องถูกหยิบไปเป็นประเด็นในหัวข้อการประชุมความมั่นคงระดับโลก หรือการประชุม “Munich Security Conference” เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา การหันมา “ยอมรับความจริง” หรือยอมรับความเป็นไปของโลก ที่มันไม่ได้เป็นโลกของฝรั่ง หรือโลกที่อยู่ภายใต้การครอบงำของ “ตะวันตก” เหมือนอย่างไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมาต่อไปอีกแล้ว จึงเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงอีกต่อไปได้เลย หรืออย่างที่ประธานองค์กร “Center for China and Globalization” “นายWang Huiyao” ท่านพยายามเสนอแนะไว้ในข้อเขียน บทความ เรื่อง “Time to seek more inclusive world order in era of Westlessness” ในสื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมานั่นแหละว่า มีแต่ต้องพยายามหาทางรวมเอา “ความเป็นตะวันออก” และ “ความเป็นตะวันตก” เข้าเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันให้จงได้ มันถึงจะเหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นไปของโลกยุคใหม่ หรืออาจนำไปสู่ “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่ตั้งอยู่บนบรรทัดฐานแห่งความเสมอภาคและเท่าเทียมของ “เพื่อนมนุษย์” หรือของมวลมนุษยชาติได้จริงๆ...