**กำลังจะเดินเครื่องออกตัวเต็มกำลังอยู่แล้วเชียว สำหรับพรรคอนาคตใหม่ ที่นำโดย “สองสหาย”ทั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค กับ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ที่สำคัญกำลังจะได้โอกาสขยายแผลเรื่องการปฏิรูปกองทัพ จากกระแสต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์กราดยิงที่ห้างเทอร์มินอล 21 ที่จังหวัดนครราชสีมา มาหมาดๆ หวังกระทบชิ่งไปถึงรัฐบาล เรียกว่า“กินสองต่อ”หวังจะเข้าฮอส พร้อมกันทีเดียว
แต่ก็อย่างว่า บางที “คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต”เพราะกำลังจะเริ่มออกตัวอยู่แล้ว ดันเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดต้องจอดตั้งแต่ไม่ได้ออกจากท่าด้วยซ้ำไป
เหมือนกับแนวทางที่กำลังเดินเครื่องกดดันให้มีการปฏิรูปกองทัพ หลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศผ่าตัดกองทัพบกครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดประเด็นในเรื่องการอาศัยในบ้านพักสวัสดิการทหารหลังจากเกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ย้ายออกไป ความหมายก็เพื่อต้องการบดขยี้บรรดาอดีตนายทหารที่เกษียณฯไปแล้วหลายคนในรัฐบาล เป้าหมายก็น่าจะพอเดาออกว่าหมายถึงระดับ “บิ๊ก”ในรัฐบาลคนใดบ้าง
ขณะเดียวกัน ต้องการชี้ให้เห็นถึงความล้าหลังของกองทัพที่ต้องมีการปฏิรูปกันครั้งใหญ่ ตามแนวทางที่ตัวเองต้องการมาตั้งแต่ต้น แต่ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ กำลังไล่ถล่มอยู่ดีๆ ดันมา"โป๊ะแตก" เสียก่อนกับการที่ “นายพลส้มหวาน”คือ พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่จำนนต่อหลักฐาน ยอมรับว่าเขาก็ยังพักอาศัยอยู่ในบ้านพักสวัสดิการทหาร แม้ว่าจะเกษียณอายุราชการไปแล้วนานกว่า 4 ปี พร้อมทั้งกล่าวแบบอ้อมแอ้มว่าจะย้ายออกในปีหน้า โดยอ้างว่ายังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เนื่องจากมีเงินเดือนเพียงแค่เดือนละ 7 หมื่นบาทเท่านั้น
**กรณีของ พล.ท.พงศกร รอดชมพู ทำให้พรรคอนาคตใหม่ เสียรังวัดไปอย่างมาก โดยเฉพาะทำลายน้ำหนักในการไล่บี้กองทัพ และหวังกระทบชิ่งไปยังผู้นำรัฐบาล ทำนอง“ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”กลายเป็นว่า เรียกร้องให้คนอื่นปฏิรูป แต่ตัวเองนั้นมีปัญหายิ่งกว่า
รวมไปถึงการเรียกร้องในเรื่องประชาธิปไตย เลิกแบ่งชนชั้น แต่กลายเป็นว่า เมื่อหันกลับมาย้อนพิจารณาถึงข้อกล่าวหา หรือข้อร้องเรียนของสมาชิกพรรค รวมไปถึงอดีตผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ ที่ลาออกไปได้เคยออกมาแฉในทำนองว่า ภายในพรรคอนาคตใหม่ มีการแบ่งชนชั้น มีกลุ่ม “ชนชั้นนำ”ที่มีความใกล้ชิดเป็นเพื่อนฝูงของหัวหน้าพรรค มีการส่งคนที่มีการระบุว่า เป็นคนในกลุ่ม“เครือซัมมิท”ไปบริหารจัดการภายในสาขาพรรค และมีข้อกล่าวหาในเรื่องการทุจริตเกิดขึ้นด้วย แต่เมื่อมีการร้องเรียนเข้ามา กลับเงียบหายไปทุกครั้ง
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวบังเอิญว่ามีเวลาใกล้เคียงกับเรื่องสำคัญที่พรรคอนาคตใหม่กำลังเผชิญอยู่ นั่นคือ“คดีเงินกู้ของพรรค”ที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะมีการวินิจฉัย ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งหากนับกันในเวลานี้ก็ต้องถือว่าได้เวลา“นับถอยหลัง”กันแล้วว่าผลจะออกมาแบบไหน เพราะมีผลถึงขั้นต้องถูกยุบพรรค ดังที่รับรู้กันอยู่แล้ว หากผลออกมาในทางลบ
หลายคนกำลังมองว่าการเคลื่อนไหวของแกนนำพรรคอนาคตใหม่ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญในทำนองว่า มีการรวบรัด ไม่เปิดโอกาสให้มีการชี้แจงได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งมีการข่มขู่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ในฐานะผู้ร้องให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ว่าจะต้องถูกฟ้องร้องเอาคืนในภายหลัง
อย่างไรก็ดี ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งการรณรงค์คัดค้านการวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ และล่าสุด กรณีการสร้างกระแสกดดันให้มีการปฏิรูปกองทัพอย่างเต็มรูปแบบ แต่กลายเป็นว่า เมื่อเกิดกรณีของ “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”ของ พล.ท.พงศกร รอดชมพู รองหัวหน้าพรรค ที่จำนนต่อหลักฐานว่ายังอยู่บ้านหลวง หลังเกษียณฯ ไปหลายปีแล้ว ก็ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดกึก รวมไปถึงทำให้อารมณ์ร่วมเรื่องการขัดขวงการยุบพรรคต้อง“มอด”ลงไปทันที
แม้ว่านาทีนี้ พล.ท.พงศกร รอดชมพูจะลาออกจากกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ไปแล้ว แต่ก็กลายเป็นว่า ถูกมองว่า“เหลี่ยมจัด”ไปเสียอีก เพราะเป็นแผนเพื่อเอาตัวรอด หากพรรคถูกวินิจฉัยยุบพรรค ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้
** เอาเป็นว่าเวลานี้กระแสของพรรคอนาคตใหม่คงไม่ได้ร้อนแรงอย่างที่หวังเอาไว้ จากกรณี “โป๊ะแตก”ดังกล่าวนั่นแหละ !!
แต่ก็อย่างว่า บางที “คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต”เพราะกำลังจะเริ่มออกตัวอยู่แล้ว ดันเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดต้องจอดตั้งแต่ไม่ได้ออกจากท่าด้วยซ้ำไป
เหมือนกับแนวทางที่กำลังเดินเครื่องกดดันให้มีการปฏิรูปกองทัพ หลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศผ่าตัดกองทัพบกครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิดประเด็นในเรื่องการอาศัยในบ้านพักสวัสดิการทหารหลังจากเกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ย้ายออกไป ความหมายก็เพื่อต้องการบดขยี้บรรดาอดีตนายทหารที่เกษียณฯไปแล้วหลายคนในรัฐบาล เป้าหมายก็น่าจะพอเดาออกว่าหมายถึงระดับ “บิ๊ก”ในรัฐบาลคนใดบ้าง
ขณะเดียวกัน ต้องการชี้ให้เห็นถึงความล้าหลังของกองทัพที่ต้องมีการปฏิรูปกันครั้งใหญ่ ตามแนวทางที่ตัวเองต้องการมาตั้งแต่ต้น แต่ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ กำลังไล่ถล่มอยู่ดีๆ ดันมา"โป๊ะแตก" เสียก่อนกับการที่ “นายพลส้มหวาน”คือ พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่จำนนต่อหลักฐาน ยอมรับว่าเขาก็ยังพักอาศัยอยู่ในบ้านพักสวัสดิการทหาร แม้ว่าจะเกษียณอายุราชการไปแล้วนานกว่า 4 ปี พร้อมทั้งกล่าวแบบอ้อมแอ้มว่าจะย้ายออกในปีหน้า โดยอ้างว่ายังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เนื่องจากมีเงินเดือนเพียงแค่เดือนละ 7 หมื่นบาทเท่านั้น
**กรณีของ พล.ท.พงศกร รอดชมพู ทำให้พรรคอนาคตใหม่ เสียรังวัดไปอย่างมาก โดยเฉพาะทำลายน้ำหนักในการไล่บี้กองทัพ และหวังกระทบชิ่งไปยังผู้นำรัฐบาล ทำนอง“ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”กลายเป็นว่า เรียกร้องให้คนอื่นปฏิรูป แต่ตัวเองนั้นมีปัญหายิ่งกว่า
รวมไปถึงการเรียกร้องในเรื่องประชาธิปไตย เลิกแบ่งชนชั้น แต่กลายเป็นว่า เมื่อหันกลับมาย้อนพิจารณาถึงข้อกล่าวหา หรือข้อร้องเรียนของสมาชิกพรรค รวมไปถึงอดีตผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ ที่ลาออกไปได้เคยออกมาแฉในทำนองว่า ภายในพรรคอนาคตใหม่ มีการแบ่งชนชั้น มีกลุ่ม “ชนชั้นนำ”ที่มีความใกล้ชิดเป็นเพื่อนฝูงของหัวหน้าพรรค มีการส่งคนที่มีการระบุว่า เป็นคนในกลุ่ม“เครือซัมมิท”ไปบริหารจัดการภายในสาขาพรรค และมีข้อกล่าวหาในเรื่องการทุจริตเกิดขึ้นด้วย แต่เมื่อมีการร้องเรียนเข้ามา กลับเงียบหายไปทุกครั้ง
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวบังเอิญว่ามีเวลาใกล้เคียงกับเรื่องสำคัญที่พรรคอนาคตใหม่กำลังเผชิญอยู่ นั่นคือ“คดีเงินกู้ของพรรค”ที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะมีการวินิจฉัย ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งหากนับกันในเวลานี้ก็ต้องถือว่าได้เวลา“นับถอยหลัง”กันแล้วว่าผลจะออกมาแบบไหน เพราะมีผลถึงขั้นต้องถูกยุบพรรค ดังที่รับรู้กันอยู่แล้ว หากผลออกมาในทางลบ
หลายคนกำลังมองว่าการเคลื่อนไหวของแกนนำพรรคอนาคตใหม่ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญในทำนองว่า มีการรวบรัด ไม่เปิดโอกาสให้มีการชี้แจงได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งมีการข่มขู่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ในฐานะผู้ร้องให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ว่าจะต้องถูกฟ้องร้องเอาคืนในภายหลัง
อย่างไรก็ดี ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งการรณรงค์คัดค้านการวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ และล่าสุด กรณีการสร้างกระแสกดดันให้มีการปฏิรูปกองทัพอย่างเต็มรูปแบบ แต่กลายเป็นว่า เมื่อเกิดกรณีของ “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”ของ พล.ท.พงศกร รอดชมพู รองหัวหน้าพรรค ที่จำนนต่อหลักฐานว่ายังอยู่บ้านหลวง หลังเกษียณฯ ไปหลายปีแล้ว ก็ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดกึก รวมไปถึงทำให้อารมณ์ร่วมเรื่องการขัดขวงการยุบพรรคต้อง“มอด”ลงไปทันที
แม้ว่านาทีนี้ พล.ท.พงศกร รอดชมพูจะลาออกจากกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ไปแล้ว แต่ก็กลายเป็นว่า ถูกมองว่า“เหลี่ยมจัด”ไปเสียอีก เพราะเป็นแผนเพื่อเอาตัวรอด หากพรรคถูกวินิจฉัยยุบพรรค ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้
** เอาเป็นว่าเวลานี้กระแสของพรรคอนาคตใหม่คงไม่ได้ร้อนแรงอย่างที่หวังเอาไว้ จากกรณี “โป๊ะแตก”ดังกล่าวนั่นแหละ !!