พิจารณาตามรูปการณ์แล้วพอคาดเดาได้ล่วงหน้าเลยว่า การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่กำหนดเอาไว้จำนวน 6 คน ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
อย่างไรก็ดี เป้าหมายก็ย่อมมองออกได้ไม่ยาก ก็คือ พี่น้อง “3ป.”อันประกอบด้วย ป.ประยุทธ์ ป.ประวิตร และ ป.ป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แต่หากโฟกัสให้ตรงเป้าจริงๆ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นแหละ ส่วนรายอื่นๆน่าจะเป็น “ของแถม”พ่วงเข้ามาประกอบฉากเท่านั้นเอง
**สิ่งที่คาดเดาได้ว่า ทำไมเป้าหมายต้องเป็น“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลังจากได้ยินแนวทางการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านหลักอย่างพรรคเพื่อไทย จากปากของระดับแกนนำพรรคที่ถือว่าเป็นระดับคนใกล้ชิดของครอบครัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่เคยเป็นเลขาธิการพรรคมาก่อน ที่แย้มออกมาให้เห็นภาพชัดเจนก่อนหน้านี้แล้วว่า พรรคเพื่อไทย จะอภิปรายย้อนอดีตไปในเหตุการณ์ที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2557 นั่นเอง
และต่อเนื่องจากท่าที่ของ นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน จากพรรคเพื่อไทย ที่ย้ำท่าทีว่า จะต้องอภิปรายย้อนไปในอดีตที่ พล.อ.ประยุทธ์ ฉีกรัฐธรรมนูญด้วย โดยอ้างว่าเป็นการอารัมภบทที่ต้องเชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ก็ยืนยันเช่นเดียวกันว่าจะไม่ยอมให้มีการอภิปราย “ย้อนยุค”อย่างเด็ดขาด
หากจะอภิปราย ก็ต้องอภิปรายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน และถือว่ารัฐบาลนี้ เพิ่งเขามาทำหน้าที่บริหารเพียงแค่ 5-6 เดือนเท่านั้น
** แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมาลุ้นกันว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะวินิจฉัยออกมาแบบไหน หรือจะสามารถอภิปรายย้อนหลังไปได้แค่ไหนอีกด้วย แต่ก็เชื่อว่าจะต้องเกิดการประท้วงกันวุ่นวายแน่นอน หากฝ่ายค้านยังเดินหน้าอภิปรายตามแบบที่ว่าต่อไป
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันอย่างเข้าใจมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย มีเป้าหมายหลักพุ่งมาที่“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในลักษณะเป็นความต้องการอภิปรายในแบบย้อนยุคให้ได้ คำตอบก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรมาก เป็นเพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ยึดอำนาจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็น “นอมินี”ของพี่ชายคือ นายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ปี 2557 ทำให้พวกเขาต้องตกอำนาจมาตั้งแต่บัดนั้นจนถึงวันนี้ และในระยะเวลาอันใกล้นี้ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะได้กลับมา ในทางตรงกันข้ามมีแต่หดตัวลงไปเรื่อยๆ เมื่อพิจารณาจากบทบาทและความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย ทั้งในและนอกสภาฯในช่วงที่ผ่านมา ที่มีแต่ข่าวความขัดแย้งแตกแยก และบทบาทในสภาฯ ที่สูญเสียบทบาทนำให้กับพรรคการเมืองระดับรองลงไป
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันในเรื่องความล้มเหลวหรือการทุจริตของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงเวลาของรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหาร เมื่อราว 6 เดือนที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่ายังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่ามีเรื่อง ทุจริต หรือมีความล้มเหลวที่ชัดเจนอย่างไรบ้าง แต่ในเมื่อฝ่ายค้านยืนยันว่ามีข้อมูลเด็ดอยู่ในมือ หรือย้ำให้เห็นแบบน่ากลัวว่า หากเปิดออกมาเมื่อไหร่เป็นต้องน็อกคาเวทีแน่ แต่ต้องรอดูให้ถึงวันนั้น
แต่หากพูดกันแบบ “ขัดคอ”กันล่วงหน้า เมื่อพอมองเห็นถึงบรรดา“ขุนพล”ที่เตรียมดาหน้าขึ้นเวทีของฝ่ายค้านแต่ละคนแล้ว ก็ต้องบอกตามตรงว่า ล้วนเป็นประเภท “มวยรอง”หรือเป็นประเภท “มวยคั่นรายการ”เสียเป็นส่วนใหญ่ โดยพิจารณาจากบทบาทในสภาฯ ในอดีต อย่างมากก็เพียงแค่เคยทำหน้าที่ประท้วงให้เกิดความรำคาญเท่านั้น เพียงแต่ว่าคราวนี้ได้ยกระดับขึ้นมาหลังจากพวกบรรดาแถวหนึ่งแถวสอง ต้องตกเก้าอี้ไม่ได้เข้ามาเป็น ส.ส.เท่านั้นเอง และเมื่อได้เห็นการอภิปรายในสภาที่เกี่ยวกับเรื่องหลัก ก็ยังมองไม่เห็นถึงลำหักลำโค่น
เมื่อพิจารณากันตามรูปการณ์เท่าที่เห็นและท่าทีที่แกนนำพรรคเพื่อไทยประกาศออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า ต้องการซักฟอกย้อนยุคไปถึงปี 57 ที่"บิ๊กตู่" และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ไปยึดอำนาจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย ก็เผยออกมาให้เห็นแล้วว่า “ยังแค้น”ไม่หาย ที่ทำให้พวกเขาต้องตกจากอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้
**ดังนั้นจึงน่าจะออกมาในแบบการชำระแค้น โดยพุ่งไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหลัก ส่วนรายอื่นน่าจะเป็นแค่ตัวประกอบ หรือเป็นของแถมเท่านั้น !!
อย่างไรก็ดี เป้าหมายก็ย่อมมองออกได้ไม่ยาก ก็คือ พี่น้อง “3ป.”อันประกอบด้วย ป.ประยุทธ์ ป.ประวิตร และ ป.ป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แต่หากโฟกัสให้ตรงเป้าจริงๆ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นแหละ ส่วนรายอื่นๆน่าจะเป็น “ของแถม”พ่วงเข้ามาประกอบฉากเท่านั้นเอง
**สิ่งที่คาดเดาได้ว่า ทำไมเป้าหมายต้องเป็น“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลังจากได้ยินแนวทางการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านหลักอย่างพรรคเพื่อไทย จากปากของระดับแกนนำพรรคที่ถือว่าเป็นระดับคนใกล้ชิดของครอบครัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่เคยเป็นเลขาธิการพรรคมาก่อน ที่แย้มออกมาให้เห็นภาพชัดเจนก่อนหน้านี้แล้วว่า พรรคเพื่อไทย จะอภิปรายย้อนอดีตไปในเหตุการณ์ที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2557 นั่นเอง
และต่อเนื่องจากท่าที่ของ นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน จากพรรคเพื่อไทย ที่ย้ำท่าทีว่า จะต้องอภิปรายย้อนไปในอดีตที่ พล.อ.ประยุทธ์ ฉีกรัฐธรรมนูญด้วย โดยอ้างว่าเป็นการอารัมภบทที่ต้องเชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ก็ยืนยันเช่นเดียวกันว่าจะไม่ยอมให้มีการอภิปราย “ย้อนยุค”อย่างเด็ดขาด
หากจะอภิปราย ก็ต้องอภิปรายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน และถือว่ารัฐบาลนี้ เพิ่งเขามาทำหน้าที่บริหารเพียงแค่ 5-6 เดือนเท่านั้น
** แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมาลุ้นกันว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะวินิจฉัยออกมาแบบไหน หรือจะสามารถอภิปรายย้อนหลังไปได้แค่ไหนอีกด้วย แต่ก็เชื่อว่าจะต้องเกิดการประท้วงกันวุ่นวายแน่นอน หากฝ่ายค้านยังเดินหน้าอภิปรายตามแบบที่ว่าต่อไป
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันอย่างเข้าใจมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย มีเป้าหมายหลักพุ่งมาที่“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในลักษณะเป็นความต้องการอภิปรายในแบบย้อนยุคให้ได้ คำตอบก็ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรมาก เป็นเพราะคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ยึดอำนาจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็น “นอมินี”ของพี่ชายคือ นายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ปี 2557 ทำให้พวกเขาต้องตกอำนาจมาตั้งแต่บัดนั้นจนถึงวันนี้ และในระยะเวลาอันใกล้นี้ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะได้กลับมา ในทางตรงกันข้ามมีแต่หดตัวลงไปเรื่อยๆ เมื่อพิจารณาจากบทบาทและความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย ทั้งในและนอกสภาฯในช่วงที่ผ่านมา ที่มีแต่ข่าวความขัดแย้งแตกแยก และบทบาทในสภาฯ ที่สูญเสียบทบาทนำให้กับพรรคการเมืองระดับรองลงไป
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันในเรื่องความล้มเหลวหรือการทุจริตของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงเวลาของรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหาร เมื่อราว 6 เดือนที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่ายังไม่เห็นภาพที่ชัดเจนว่ามีเรื่อง ทุจริต หรือมีความล้มเหลวที่ชัดเจนอย่างไรบ้าง แต่ในเมื่อฝ่ายค้านยืนยันว่ามีข้อมูลเด็ดอยู่ในมือ หรือย้ำให้เห็นแบบน่ากลัวว่า หากเปิดออกมาเมื่อไหร่เป็นต้องน็อกคาเวทีแน่ แต่ต้องรอดูให้ถึงวันนั้น
แต่หากพูดกันแบบ “ขัดคอ”กันล่วงหน้า เมื่อพอมองเห็นถึงบรรดา“ขุนพล”ที่เตรียมดาหน้าขึ้นเวทีของฝ่ายค้านแต่ละคนแล้ว ก็ต้องบอกตามตรงว่า ล้วนเป็นประเภท “มวยรอง”หรือเป็นประเภท “มวยคั่นรายการ”เสียเป็นส่วนใหญ่ โดยพิจารณาจากบทบาทในสภาฯ ในอดีต อย่างมากก็เพียงแค่เคยทำหน้าที่ประท้วงให้เกิดความรำคาญเท่านั้น เพียงแต่ว่าคราวนี้ได้ยกระดับขึ้นมาหลังจากพวกบรรดาแถวหนึ่งแถวสอง ต้องตกเก้าอี้ไม่ได้เข้ามาเป็น ส.ส.เท่านั้นเอง และเมื่อได้เห็นการอภิปรายในสภาที่เกี่ยวกับเรื่องหลัก ก็ยังมองไม่เห็นถึงลำหักลำโค่น
เมื่อพิจารณากันตามรูปการณ์เท่าที่เห็นและท่าทีที่แกนนำพรรคเพื่อไทยประกาศออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า ต้องการซักฟอกย้อนยุคไปถึงปี 57 ที่"บิ๊กตู่" และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ไปยึดอำนาจรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย ก็เผยออกมาให้เห็นแล้วว่า “ยังแค้น”ไม่หาย ที่ทำให้พวกเขาต้องตกจากอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้
**ดังนั้นจึงน่าจะออกมาในแบบการชำระแค้น โดยพุ่งไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหลัก ส่วนรายอื่นน่าจะเป็นแค่ตัวประกอบ หรือเป็นของแถมเท่านั้น !!