xs
xsm
sm
md
lg

ปรับครม. เศรษฐกิจใหม่-มิ่งขวัญ เสียบ !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์
เมืองไทย 360 องศา



ในที่สุดพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ได้ฤกษ์ยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 6 คน อันประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โดยพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติดังกล่าวต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปเมื่อวันศุกร์ที่ 31มกราคมที่ผ่านมา แม้ว่าพิจารณาจากเนื้อหาที่เป็นข้อกล่าวหาทั้งนายกรัฐมนตรีและบรรดารัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติ “ซักฟอก” ครั้งนี้จะทำให้ใหญ่โตให้ดูน่ากลัวอลังการเพียงใดก็ตาม แต่ก็ต้องรอฟังกันในวันที่มีการอภิปรายจริงกันดีกว่าว่าเป็นแค่ “ราคาคุย” หรือว่ามี “ของจริง”แบบมีหมัดน็อกหรือไม่

เพราะหากพิจารณาจากคำบรรยายที่เป็นข้อกล่าวหาของพรรคฝ่ายค้านที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพวก ที่เปรียบเหมือนคำฟ้องก็ต้องบอกว่า “หนักหนา” ส่วนจะหนักหนาแบบไหน ในแบบที่ว่าเขียนให้ดู “ดุดัน” ดุเดือดไว้ก่อน เหมือนกับการทำศึกก็ต้องโหมโรงตีปี๊บให้ดูเร้าใจเอาไว้ก่อนหรือเปล่า

ขณะเดียวกันเมื่อมองอีกมุมหนึ่งจากการยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาลในครั้งนี้ทำให้มองเห็นสภาพความ “รวน” ของพรรคร่วมฝ่ายค้านได้อย่างชัดเจน เริ่มจากความ “ไม่เป็นเอกภาพ” ที่ปิดบังไม่มิด เริ่มจากการยื้อยุดฉุกกระชากกันเองกันภายในพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคแกนนำของฝ่ายค้านที่ตอนแรกไม่มีชื่อของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดย “กุนซือ” หลักที่ทำหน้าที่คุมเกมในการติวเข้ม รวบรวมประเด็นในการอภิปรายของ ส.ส.ในพรรคครั้งนี้ที่เป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ ไม่เห็นด้วยในการใส่ชื่อ “ลุงป้อม” ลงไป โดยอ้างว่า ไม่มีประเด็นสำหรับการอภิปราย เนื่องจากเห็นว่าหากเป็นเรื่อง “นาฬิกาเพื่อน” ก็ถือว่าเรื่องจบไปแล้ว หลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) ได้ยุติเรื่องไปแล้ว

ขณะที่อีกฝ่ายเห็นต่างไปโดยยืนยันถึงอย่างไรก็ต้องมีชื่อ “ลุงป้อม” ในรายชื่อรัฐมนตรีถูกซักฟอกในครั้งนี้ โดยเฉพาะเป็นเป้าหมายในการถล่ม “3 ป.” ซึ่งถือเป็น “เสาหลัก” ในการค้ำยันรัฐบาล มาตั้งแต่ยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่โค่นครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยให้ตกจากอำนาจรัฐมาจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้นตามสายตาจากคนภายนอกแล้ว แม้ว่าภายในจะมีความขัดแย้งกันอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อมีรายชื่อออกมาอย่างที่เห็นที่มีแต่ “3 ป.” ที่เป็นแกนหลักแล้ว ยังมีบรรดารัฐมนตรีที่หอบหิ้วกันมาตั้งแต่ยุค คสช.เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น นายวิษณุ เครืองาม นายดอน ปรมัตถ์วินัย รวมไปถึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำของพรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ซึ่งก็หวังให้สะเทือนไปถึงรัฐบาล และยุทธศาสตร์การเมืองในพื้นที่ภาคเหนือ เนื่องจาก ร.อ.ธรรมนัส เป็น ส.ส.พะเยา และยังเป็นมือทำงานของ “3 ป.” อีกด้วย

แม้ว่าในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยจะยืมมือพรรคเสรีรวมไทย ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นคนเปิดแผลเก่า ในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดที่ประเทศออสเตรเลียในอดีต อย่างไรก็ดีเป้าหมายหลักก็ยังเป็น “ 3 ป.”อยู่ดี

อย่างไรก็ดีแม้ว่าเมื่อพิจารณาจากเนื้อหาและข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านอย่างจริงจัง นาทีนี้ก็ยังมองไม่เห็นถึง “หมัดเด็ด” ที่คาดว่าจะถึงขั้นทำให้บรรดารัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกในครั้งนี้ล้มคว่ำลงไปได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรัฐบางเพิ่งเข้ามาบริหารได้เพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น และที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นเรื่องทุจริตที่เห็นกันจะจะ แต่อย่างใด แต่หากใช้เหตุผลที่บอกว่า “บริหารไร้ประสิทธิภาพ” และเปิดช่องให้มีการทุจริต ใช้ตำแหน่งหน้าที่มิชอบ ก็ว่ากันไป

ขณะเดียวกันหากมองกันตามยุทธศาสตร์ของฝ่ายค้านแล้วน่าจะเป็นแบบ “นวดให้น่วม” เพื่อรอการอภิปรายไม่ไว้วางใจจริงในราวปลายปีนี้ ครั้งนี้จึงน่าจะเป็นการ “ซ้อมใหญ่” หรือ “เปิดแผล” หรือ หยั่งเชิงเอาไว้ก่อน เพราะจะว่าไปแล้วการยื่นญัตติซักฟอกคราวนี้ทางหนึ่งก็เพื่อต้องการรักษา “โควตา” เอาไว้ โดยหากไม่ยื่นญัตติก็ถือว่าต้องทิ้งไป ดึงนั้นจึงเป็นการักษาสิทธิ์เอาไว้แบบต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ทำให้ปีนี้ฝ่ายค้านสามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ถึง 2 ครั้ง

อย่างไรก็ไรสิ่งที่น่าพิจารณามากกว่าก็คือ ความไร้เอกภาพของพรรคฝ่ายค้าน และที่สำคัญก็คือต้องจับตาพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่คราวนี้ได้ถอนตัวจากการทำงานร่วมกับฝ่ายไปแล้ว หลังจากที่ผ่านมาก็เคยยกมือสวนและประกาศพร้อมร่วมกับฝ่ายรัฐบาลมาแล้วจำนวน 5 เสียงจาก ส.ส.จำนวน 6 เสียง แต่คราวนี้ไม่มีท่าทีจาก นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ออกมาแต่อย่างใด ถือว่า “เงียบ” ผิดปกติไม่เหมือนเมื่อก่อน ทำให้มองกันว่าเศรษฐกิจใหม่ยกออกมาทั้งพรรคแล้ว และด้วยจำนวนเสียง ส.ส.รวมกันถึง 6 คน มันก็ทำให้มีเสียงมาสนับสนุนรัฐบาลเพิ่มแบบเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งนี่ว่ากันเฉพาะพรรคเดียว ยังไม่นับพวก “งูเห่า” จากฝ่ายค้านอีกบางพรรค

แต่ก็อย่างว่าแหละทุกอย่างมันก็ต้องมีที่มาที่ไป เมื่อยกขบวนมาสนับสนุนกันแบบนี้มันก็น่าจะมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ ถึงได้ให้จับตาการปรับคณะรัฐมนตรีหลังศึกซักฟอกนี้ผ่านไปก่อนว่าจะมีการ “ปรับคณะรัฐมนตรี” หรือไม่ ที่อาจจะออกมาในลักษณะการพิจารณาจากเสียงสนับสนุนของแต่ละพรรคว่ายังเต็มร้อยอยู่หรือไม่ หากไม่เต็มร้อยหรือมาไม่ครบก็ต้องเอาออกไปเฉพาะบางส่วนหรือเปล่า ซึ่งก็ต้องจับตาไปที่พรรคประชาธิปัตย์ “บางปีก” ที่กำลังเขย่ารัฐบาลในคราวนี้

ขณะเดียวกันสำหรับพรรคเศรษฐกิจใหม่ก็ต้องจับตาดูว่าหากมีการปรับคณะรัฐมนตรีที่อาจเกิดขึ้นหลังศึกซักฟอกแล้ว จะถูกดึงเข้ามาร่วมเพื่อเติมเสียงให้พ้นปริ่มน้ำหรือไม่ รวมไปถึงการเพ่งมองว่า นายมิ่งขวัญ จะได้คั่วเก้าอี้รัฐมนตรีหรือไม่ เพราะเงียบเสียงผิดปกติ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น