โดย ดร.เสรี พงศ์พิศ
เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2020 ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องมาจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งหมายความว่า 205 ประเทศสมาชิกขององค์การนี้จะต้องมีมาตรการป้องกันโรคระบาดนี้ตามแนวทางที่ WHO ได้ตกลงกันไว้
มาตรการทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ การดูแลด้านสาธารณสุขต่างๆ รวมไปถึงการเดินทาง มาตรการสำหรับสายการบิน การจำกัดการบิน การจำกัดพื้นที่ผู้ป่วย หรือผู้สงสัยหรือรอการยืนยันว่าป่วย การตรวจคนเข้าเมือง มาตรการตามชายแดน หรือบางกรณีอาจต้องปิดด่าน (วันนี้รัสเซียปิดด่านเข้าออกจีนทั้งหมดเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรนา) และอื่นๆ
WHO ย้ำว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อช่วยกันป้องกันการระบาดไปทั่วโลกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่อ่อนแอ ด้อยพัฒนาทุกด้าน จนไม่อาจต้านการระบาดของโรคร้ายนี้ได้ ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับอีโบลาและเอดส์ ซึ่งระบาดหนักที่สุดในแอฟริกา
เป็นที่สังเกตว่า ไวรัสโคโรนาและไวรัสกลุ่มไข้หวัดใหญ่ไม่ได้แพร่ไปในแอฟริกา อย่าง SARS ที่ระบาดเมื่อปี 2002-2003 ในเอเชีย ยุโรป อเมริกา ใน 17 ประเทศ มีคนป่วย 8,096 คน เสียชีวิต 774 คน ในประเทศไทยป่วย 9 คน เสียชีวิต 2 คน
หรือไข้หวัดหมู H1N1 เมื่อปี 2009 ที่ระบาดในเม็กซิโก และทวีปอเมริกาทั้งหมด รวมยุโรปและเอเชีย มีคนตายประมาณ 200,000 คน ไม่ปรากฏว่ามีการระบาดในแอฟริกา แต่เรื่องใหญ่ในทวีปแอฟริกาคืออีโบลากับเอดส์
อีโบลาเริ่มจริงๆ เมื่อปี 1976 ที่ซูดาน จากนั้นไปที่ซาอีร์ (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก DRC) แต่ยังไม่รุนแรงเท่าปี 1995-2014 ที่ระบาดหนักในคองโกและยูกันดา และระบาดไปยังแอฟริกาตะวันตก ที่ประเทศกินี ไลบีเรีย และเซียร์รา ลีโอน มีคนป่วยรวมประมาณ 30,000 คน เสียชีวิตมากกว่าหมื่นคน ซึ่ง WHO บอกว่า ตัวเลขต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
อีโบลายังไม่หยุด WHO บอกว่า วันนี้อาจควบคุมและจำกัดพื้นที่ได้ แต่ยังเอาไม่อยู่หรือปราบไม่ได้ ทั้งๆ ที่การติดต่อของโรคนี้ไม่ใช่จากอากาศหรือการสัมผัสทั่วไป แต่ผ่านทาง “ของเหลว” จากร่างกาย เช่น น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลือง เลือด รวมไปถึงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อ การใช้สิ่งของร่วมกัน
วันนี้ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 38 ล้านคน ประมาณ 24 ล้านคนอยู่ในแอฟริกา (ใต้ทะเลทรายซาฮาราลงไป) ร้อยละ 91 ของเด็กที่ติดเชื้ออยู่ในแอฟริกา ก่อนนี้ทุกปีมีผู้ใหญ่และเด็กแอฟริกันตายด้วยโรคเอดส์ 1 ล้านคน วันนี้ลดลงไปบ้าง แต่ก็คงเฉียดล้าน
ดูตัวเลขเป็นรายประเทศแล้วน่าตกใจมาก เพราะบางประเทศผู้ใหญ่กว่า 1 ใน 4 ติดเชื้อเอชไอวี อย่างสวาซิแลนด์ (27.20%) เลโซโท (25%) บอตสวานา (21.90) แอฟริกาใต้ (18.90%) แอฟริกาใต้มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีอยู่ถึง 7,100,000 คน มากมายหลายปีจนคนลืมไปว่ามีโรคระบาดนี้และยังรุนแรงไม่น้อย
เอดส์ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 1981 ในสหรัฐอเมริกา และเมื่อปี 1984 (2527) ในประเทศไทย ตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ มีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 75 ล้านคน ตายไปแล้ว 32 ล้านคนด้วยโรคที่สัมพันธ์กับเอดส์
วันนี้มียา (ต้านไวรัส) ที่พัฒนามาเป็นลำดับจนแทบจะบอกว่า “เอาอยู่” คือป้องกันการเพิ่มจำนวนของไวรัสเอชไอวี ทำให้ที่มีอยู่ตายไปและลดลงจนไม่สามารถวัดได้ในผู้ติดเชื้อที่ดูแลสุขภาพตนเองดี แต่กระนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าพูดได้เต็มปากว่า “หายแล้ว” เพราะไวรัสเอชไอวีนี่ปรับตัวแปลงร่างเก่งพอๆ กับยาต้านไวรัส และไปมุดไปแอบอยู่ที่ไหนที่ตรวจพบไม่ได้ ผู้ติดเชื้อจึงยังต้องกินยาต่อไป
ทุกวันนี้ มีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์น้อยลง ปี 2018 ทั่วโลกอยู่ที่ 770,000 คน ก่อนนั้นเกินล้านทุกปี ที่ลดลงส่วนหนึ่งเพราะคนเข้าถึงการรักษา (Antiretroviral Therapy) มากขึ้น คือไปรับยาต้านไวรัสและการรักษาโรคข้างเคียงต่างๆ มีอยู่ประมาณ 25 ล้านคน
ทุกปียังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ปีละ 1.7 ล้านราย แม้ว่าโดยทั่วไปและภาพรวมจะลดลง ในประเทศไทยวันนี้มีผู้ติดเชื้อประมาณ 450,000 คน แต่พบว่าประชากรบางกลุ่มอย่างชายรักชายและเยาวชนมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
ที่น่ากลัวคือ ผู้ติดเชื้อที่รู้ว่าตนเองติดเชื้อมี 79% อีก 21% หรือ 8.1 ล้านคนไม่ทราบ นี่เป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการระบาดของเอชไอวีต่อไป เพราะคนเหล่านี้อาจไม่ป้องกันตนเองในการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นทางหลักในการระบาด รองลงไปเป็นการใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน นอกนั้นแทบจะไม่มีทางติดต่อได้ แม้แต่ทางแม่ การให้นมแม่ ที่มียาและวิธีการป้องกันได้ดีจนแทบเป็นศูนย์
การเข้าถึงยาต้านไวรัสและการรักษาที่พัฒนาขึ้นจน “หยุดเอดส์” ได้ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยประมาท คิดว่าติดเชื้อก็เหมือนเป็นเบาหวาน ความดัน ไขมัน (กระมัง) อาจจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต (เท่านั้นเอง) ซึ่งคงต้องฟังโบราณท่านสอนว่า “ความประมาทคือความตาย” ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว
และชีวิตก็ไม่มีคุณภาพอย่างที่ควรจะมี เพราะเมื่อกินยา ผลข้างเคียงก็อาจเกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย และที่สำคัญ คนไม่ได้ตายเพราะ “เอชไอวี” แต่ตายเพราะ “ภูมิคุ้มกันบกพร่อง” จึงเกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป อันนี้ต่างหากน่ากลัวกว่า
บทเรียนจากโรคระบาดทั้งหลาย นอกจากมาตรการทางกายมากมายที่ประกาศกันทุกวันแล้ว ต้อง “มีสติ” อย่างที่พระท่านสอน เพื่อจะได้กินเป็น อยู่เป็น (ในความหมายทั่วไป ไม่ใช่การเมือง)