xs
xsm
sm
md
lg

อัยการแจงเหตุไม่ฟ้อง อุ้มฆ่า"บิลลี่"ไร้หลักฐาน DSI-นิติวิทยาศาสตร์แถลงโต้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดการรายวัน360-อัยการสูงสุดแจงเหตุไม่ฟ้อง "ชัยวัฒน์และพวก" ในข้อหาร่วมกันฆ่าอำพรางศพ "บิลลี่" เหตุสำนวนคดีไม่มีข้อเท็จจริง ไม่มีประจักษ์พยานที่เชื่อมโยงถึงผู้ต้องหา ฟ้องไป ศาลยกฟ้องจะเสียหายกว่า ด้าน "มีนอ" ยื่นหนังสือท้วง แย้มอาจต้องฟ้องเอง ดีเอสไอ-นิติวิทยาศาสตร์ โต้ทันที ยันสารไมโทคอนเดรีย บ่งชี้สายสัมพันธ์การสืบสายเลือดมาจากยายหรือแม่ ทั่วโลกหรือเอฟบีไอก็ใช้ตรวจสอบหาผู้สูญหาย

นายประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษสำนักงานคดีอาญา 3 ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ผอ.ทสจ.) จังหวัดปัตตานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับลูกน้อง 3 คน ที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวทำร้าย และร่วมกันฆ่าอำพรางศพนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ นักเคลื่อนไหวชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปตั้งแต่ปี 2557 ว่า คณะทำงานได้ตรวจสำนวนอย่างละเอียดแล้ว เห็นว่าทางคดีไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใดๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 ได้ร่วมกันกระทำผิด มีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ส่วนข้อหาร่วมกันฆ่าบิลลี่ เห็นว่า ในชั้นนี้พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 เช่นกัน เพราะในชั้นแรกบิลลี่ถูกกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 4 ควบคุมตัวไปพร้อมน้ำผึ้งและรถจักรยานยนต์ แต่ต่อมามีพยานบุคคลยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 ได้ปล่อยตัวบิลลี่แล้ว โดยทางคดีได้ความอีกว่าภรรยาและมารดาของนายพอละจีได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ต้องหาทั้ง 4 ปล่อยตัวนายพอละจี เพราะเป็นการควบคุมตัวโดยไม่ชอบตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ศาลจังหวัดเพชรบุรียกคำร้อง เพราะนายชัยวัฒน์ปล่อยตัวแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และศาลฎีกายืนตามศาลจังหวัดเพชรบุรีและศาลอุทธรณ์ ส่วนที่พยานกลับคำให้การกับพนักงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าไม่เห็นนายชัยวัฒน์ปล่อยตัว แต่พนักงานอัยการ เห็นว่าคำเบิกความต่อศาลน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักมากกว่า

ส่วนการตรวจพิสูจน์กระดูก ซึ่งเป็นวัตถุพยานของกลาง โดยใช้วิธีไมโทคอนเดรีย เป็นเพียงการตรวจเพื่อทราบถึงความสื่อสัมพันธ์สายมารดาเท่านั้น ไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลที่ชัดเจนได้ว่าเป็นของบุคคลใด และสำนวนคดีไม่มีข้อเท็จจริงหรือประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใดๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้ง 4 เป็นผู้ร่วมกันฆ่านายพอละจีที่ไหน เมื่อไร และโดยวิธีใด ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นล้วนเป็นสาระสำคัญที่อัยการต้องกล่าวบรรยายไว้ในฟ้อง รวมทั้งสำนวนการสอบสวนไม่มีพยานหลักฐานว่านายพอละยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ จึงมีความเห็นว่ามีพยานหลักฐานไม่เพียงพอฟ้องผู้ต้องหา จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 เพราะการฟ้องคดี สามารถทำได้ครั้งเดียว อัยการต้องพิสูจน์ให้ชัด ถ้าศาลยกฟ้อง จะเสียหายกว่า แต่ถ้าสั่งไม่ฟ้องแล้ว มีพยานหลักฐานใหม่ อัยการสามารถหยิบขึ้นมาใหม่ได้ คดีมีอายุความ 20 ปี ส่วนญาติผู้เสียหาย สามารถฟ้องเองได้ อัยการยินดีสนับสนุน

ด้านนางพิณนภา พฤกษพรรณ หรือมึนอ ภรรยาของนายบิลลี่ กล่าวว่า ได้ยื่นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือ ขอให้อัยการชี้แจงเหตุผลในการสั่งไม่ฟ้องอย่างละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษร และรู้สึกผิดหวัง ไม่สบายใจ ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง โดยเข้าใจที่อัยการเอาตามหลักฐานคำพิพากษา แต่ก็เข้าใจยาก และยังสงสัยเรื่องการตรวจ เพราะคนกะเหรี่ยงเมื่อเสียชีวิตจะไม่เอากระดูกลอยน้ำ ในชั้นนิติวิทยาศาสตร์ตรวจแล้วยืนยันตรงกับแม่ของบิลลี่ ส่วนตัวรู้สึกเป็นไปไม่ได้ว่าจะเป็นคนอื่น เชื่อตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ จากนี้ก็ต้องไปคุยกันใหม่ และไม่มีพยานในหมู่บ้านที่เห็นบิลลี่ถูกปล่อยตัว ส่วนการฟ้องเอง ก็คิดไว้ สุดท้ายแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ก็อาจจะฟ้องเอง คนทั้งคนหายไปมันเป็นไปไม่ได้ ต้องมีเหตุและผล

วันเดียวกันนี้ ที่ดีเอสไอ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พ.ต.ท.เชน กาญจนาปัจจ์ ผอ.กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ผศ.นพ.วรวีร์ ไวยวุฒิ ผอ.กองสารพันธุกรรม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และ พ.ต.ท. เสฏฐ์สถิตย์ สุวรรณกูด รอง ผอ.กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ร่วมแถลงข่าวชี้แจงกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีบิลลี่

พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า ได้รับเอกสารสำนวนจากอัยการแล้ว และมี 2 ทางเลือก คือ เห็นด้วยกับอัยการ คดีก็จบ และไม่เห็นด้วย ก็จะทำความเห็นแย้งต่อไป มีกรอบพิจารณา 1 เดือน

ด้าน ผศ.นพ.วรวีย์ กล่าวว่า การตรวจสอบสารพันธุกรรม โดยการตรวจหาสารไมโทคอนเดรียจากกระดูก บ่งชี้ให้ทราบว่าสืบสายเลือดมาจากยายหรือแม่ของนายบิลลี่เท่านั้น และหน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์ทั่วโลก หรือเอฟบีไอ ก็ใช้หาตัวผู้สูญหาย


กำลังโหลดความคิดเห็น