การลาออกของกรณ์ จาติกวณิช จากพรรคประชาธิปัตย์ ถ้ามองในแง่ส่วนตัวเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกไปมากกว่านี้เพราะชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เลือกใช้กรณ์แล้ว แต่หันไปใช้ปริญญ์ พานิชภักดิ์ ทายาทของศุภชัยแทน ดังนั้นการอยู่ในพรรคก็เหมือนของที่เก็บไว้บนหิ้งหรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นได้แค่หางราชสีห์
แต่จากโครงสร้างของรัฐธรรมนูญที่มองเห็นจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว มันเห็นโอกาสของการนำพรรคแบบ “วีรชนเอกชน” แบบธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่นำพรรคชนะเกินความคาดหมาย โดยขายธนาธรเพียงคนเดียวหรือแบบเสรีพิศุทธ์ที่ได้ไป 10 ที่นั่งหรือแบบมิ่งขวัญที่เขย่าในสัปดาห์ท้ายๆ แต่ได้ไปถึง 6 เสียง ทุกพรรคมีโครงสร้างเหมือนกันคือขายหัวหน้าพรรคคนเดียว
ผมคิดว่ากรณ์เห็นช่องทางตรงนี้ว่าเป็นหัวหมาดีกว่าเป็นหางราชสีห์ จึงโดดมาตั้งพรรคเองร่วมกับอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ซึ่งคนที่เติบโตมาด้วยกันกับอรรถวิชช์ และร่วมเวที กปปส.หันไปซบลุงตู่กันหมด อยู่ในพรรคไปก็เปล่าเปลี่ยวเอกา รวมทั้งคงมองแล้วว่าในเจนเนอเรชั่นนี้พรรคประชาธิปัตย์ขายยากแล้ว เลยโดดเรือหนีไปลงแพกรณ์
ผมคิดว่าพรรคนี้น่าจะมีศักยภาพพอที่จะได้ ส.ส.สักจำนวนหนึ่ง ถ้าสามารถคัดตัวที่ใหม่แต่โดดเด่นไม่ซ้ำหน้าเก่าได้ และต้องมีกำลังพอจะส่งให้ได้ครบทุกเขต
แต่ปัญหาที่น่าคิดคือกรณ์และอรรถวิชช์ จะลงเขตไหมเพื่อช่วยเก็บคะแนนบัญชีรายชื่อหรือลงบัญชีรายชื่อเพื่อหวังจะมีคะแนนรวมให้ตัวเองเข้ามา ซึ่งเห็นแล้วว่าคิดพิลึกแบบ กกต. 3-4 หมื่นก็ได้แน่ 1 ที่แต่ตลกไหมถ้าอยากได้ 2 ที่ต้องได้ 1.4 แสนสมมติตามค่าพึงมีครั้งนี้คือ 7 หมื่นหรือได้ 3 ต้องได้ 2.1 แสนจะลงแบบไหนต้องคิดให้ละเอียด
ผมไม่คิดว่าตัวของกรณ์จะแรงแบบธนาธรเพราะเป็นของค้างสต็อกไม่ได้ใหม่และสดแบบธนาธร และไม่มีสื่อในมือเกื้อหนุนเท่าธนาธร ปัญหาของกรณ์ตอนนี้ก็คือเขามีความป๊อปปูลาร์แบบมิ่งขวัญไหม มีพลังส่วนตัวแบบเสรีพิศุทธ์ไหม มีคนที่มีศักยภาพพอมาลงเป็นเบี้ยเก็บคะแนนเขตมากพอไหม หรือถ้าลงเขตเองมันจะเสี่ยงเกินไปไหม
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าพรรคของกรณ์อย่างน้อยก็น่าจะได้สัก 5-10 ที่นั่ง และครั้งหน้าก็ได้ร่วมรัฐบาลเป็นรัฐมนตรีซึ่งดีกว่าไปต่อแถวในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ถ้าจะได้มากกว่านี้ส่วนตัวผมว่ายากครับ เว้นเสียแต่ว่าพรรคเฉพาะกิจอย่างพลังประชารัฐปิดฉากลงแล้ว
แต่การทยอยลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของหลายคนสำหรับผมแล้วมองว่าไม่มีอะไรสูญเสียสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพูดตรงๆ ว่าเจนเนอเรชั่นเก่าๆ ของพรรคนั้นหมดเวลาที่จะนำพรรคกลับมาเติบโตแล้ว
ตอนนี้สภาพความเป็นพรรคเก่าแก่นั้นแทบจะไม่มีความหมายสำหรับการเลือกตั้งเลย มวลชนที่เคยภักดีต่อพรรคอาจจะยังเหลือมั่นคงอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนแปลงไป
แม้พรรคจะเคยตกต่ำในวันที่คนกรุงเทพฯ มีตัวเลือกใหม่ แต่ในอดีตสุดท้ายคนก็กลับมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์อีก แต่การถูกทิ้งครั้งนี้ผมคิดว่าอาจไม่มีโอกาสจากคนกรุงเทพฯ อีกแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงและผลัดรุ่นครั้งใหญ่ที่ต้องใช้เวลายาวนาน
ผมยังคิดว่าจะมีคนลาออกจากพรรคมากกว่านี้อีกในการเลือกตั้งครั้งหน้า จับตาดูว่า ปีก กปปส.ที่ยังไม่ทิ้งพรรค และยังอยู่กับพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้จะยังอยู่ไหม ถ้าให้ผมฟันธง ผมเชื่อว่า ไม่อยู่ครับ เพราะเขามองเห็นแล้วว่า การเลือกตั้งในภาคใต้เสื้อคลุมประชาธิปัตย์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป
แต่ข้อดีก็คือการเป็นพรรคเก่าแก่ที่ฝังรากลึกในการเมืองไทย ประวัติศาสตร์ของพรรคนั้นอาจทำให้พรรคประชาธิปัตย์ยังคงอยู่ได้ แต่จะกลับมาเติบใหญ่ได้ไหมอยู่ที่ปัจจัยภายในของพรรคเองว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แค่ไหน
ดังนั้นอย่าเสียเวลาอาลัยอาวรณ์เลยครับ หาแนวทางในการกู้พรรคกลับมาอยู่ในใจประชาชน นั่นคือต้องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งตัวบุคคล และนโยบายพรรคที่จะครองใจประชาชนให้ได้ อาจจะยากในรุ่นนี้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ถูกปัดป้ายแบ่งฝ่ายไว้แล้วจากการแตกแยกทางการเมืองไทยในรอบสิบกว่าปีมานี้
คนฝั่งหนึ่งซึ่งมีอำนาจเลือกตั้งในยุคนี้อย่างไรเสียก็ไม่เปลี่ยนใจมาเลือกพรรคประชาธิปัตย์แล้ว แถมพรรคยังมีคู่แข่งจากฝั่งเดียวกันคือพรรคพลังประชารัฐที่แย่งมวลชนเก่าๆ ไปเกือบหมด
ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์ต้องรอเวลาอาจยาวนานถึงรุ่นต่อรุ่นล้างเลือดใหม่คิดค้นแนวทางใหม่ เพื่อหานโยบายที่โดนใจประชาชนและรอคอยให้พรรคพลังประชารัฐที่น่าจะเป็นเพียงพรรคเฉพาะกิจล่มสลายไปตามกาลเวลา รวมถึงทำให้ค่านิยมแบ่งฝ่ายเลือกข้างของการเมืองไทยหมดไป ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายปีหรือรอคอยเด็กวันนี้เติบใหญ่ในวันหน้า และหาจุดร่วมที่จะครองใจเขาให้ได้
ตอนนี้มองเห็นอยู่แล้วว่าคนที่มีอยู่ในพรรคศักยภาพที่มีอยู่ ถ้าเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ก็ไม่มีวันที่จะฟื้นคืนมาเหมือนเก่าอาจจะแย่ลงไปกว่านี้อีก ดังนั้นไม่ควรไปเสียเวลาอาลัยอาวรณ์ใช้ความเป็นสถาบันของพรรคมองไปวันข้างหน้าสร้างบุคลากรของพรรคขึ้นมารอคอยอย่างอดทน
แม้ว่าดอกผลอาจจะยังไม่ออกในช่วงอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่งของพรรคจะต้องอดทนเรียนรู้ เพื่อปรับตัวให้ทันยุค และหวังผลในเจนเนอเรชั่นต่อไปว่าจะยังคงยืนหยัดต่อไปได้
อย่าลืมที่มาของแมลงสาบที่ผู้เสนอทฤษฎี ‘แมลงสาบ’ ต่อพรรคคือ ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน อดีตรองปลัดทบวงมหาวิทยาลัยที่แนะนำให้ปรับตัวแบบ ‘แมลงสาบ’อย่าเป็น ‘ไดโนเสาร์’ ที่รอวันสูญพันธุ์
แล้วคำนี้แพร่หลายโดยกรณ์ จาติกวณิช นี่แหละที่เอาเรื่องการเปรียบว่าพรรคประชาธิปัตย์เหมือนแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตายมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ จนกระทั่งกลายเป็นฉายาที่ฝ่ายตรงข้ามเอามาเสียดสีพรรคประชาธิปัตย์
หมดเวลาของเจนเนอเรชั่นนี้สำหรับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว แต่ถ้าตั้งหลักไม่ได้ก็อย่ามั่นใจว่าจะเป็นแมลงสาบที่ไม่มีวันสูญพันธุ์
เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างมันจะแตกดับสลายไปได้ทั้งนั้น เป็นตถตาที่มีความหมายว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมันเป็นอย่างนี้เองหรือว่ามันเป็นอิทัปปัจจยตาคือเพราะมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยสิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้นเพราะไม่มีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยสิ่งนี้ๆ จึงดับลง
แม้คำขวัญของพรรคจะบอกว่า สจฺจํ เว อมตา วาจา หมายถึง คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย แต่มันอาจหมายถึงไม่มีพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว เหลือแค่ชื่อและความทรงจำนั่นเอง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan