ผู้จัดการรายวัน360- อนาคตใหม่รอด ศาลรธน.ไม่สั่งยุบพรรค ชี้พฤติการณ์ยังไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง แต่ข้อบังคับพรรคมีปัญหาไม่ชัดเจน อาจก่อให้เกิดความแตกแยก แนะกกต. สั่งแก้ไข ด้าน"ณฐพร" พอใจคำวินิจฉัย โอ่ทำหน้าที่ปกป้องสถาบันฯ สำเร็จแล้ว "ปิยบุตร"เชื่อรอดยุบพรรค แต่กระบวนการยังอยู่ ย้ำรัฐประหารคือพวกล้มการปกครอง ด้าน"ธนาธร"พร้อมลุยงานสองขาใน-นอกสภา
วานนี้ (21 ม.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยกคำร้องในคดีที่ นายณฐพร โตประยูร ยื่นขอให้วินิจฉัยตามรธน.มาตรา 49 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 2 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 3 และ คณะกรรมการบริหารพรรค ผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่
โดยศาลฯเห็นว่า จากคำร้องเป็นกรณีกล่าวอ้างว่า ข้อบังคับ นโยบายพรรค และสัญญลักษณ์ของพรรคอนาคตใหม่ มีลักษณะเป็นการใช้สิทธิเพื่อล้มล้างการปกครอง และเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 14 (1) จากบทบญญัติดังกล่าว จะพบว่า เป็นอำนาจหน้าที่กกต. และนายทะเบียนพรรคการเมือง ต้องตรวจสอบว่า คำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ถูกต้องหรือไม่ เมื่อตรวจสอบถูกต้องครบถ้วนแล้ว นายทะเบียนจะรับจัดตั้งพรรค และประกาศในราชกิจจนุเบกษา ซึ่งกรณีดังกล่าวปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในกระบวนการยื่นคำขอจดจัดตั้งพรรคการเมืองอนาคตใหม่ มีการยื่นเอกสารข้อบังคับพรรค พร้อมคำประกาศอุดมการณ์ และสัญญลักษณ์พรรค นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบความถูกต้อง และรับจดจัดตั้ง โดยความเห็นชอบของ กกต. และมีประกาศจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่ จึงไม่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ หากภายหลังพบว่าข้อบังคับพรรคไม่เป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องรายงานต่อ กกต.ให้มีมติเพิกถอนข้อบังคับพรรค ตาม มาตรา 17 (3)ได้ กรณีจึงไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปครองฯ
"การยื่นคำร้องของนายณฐพร เป็นเพียงข้อห่วงใยในฐานะพลเมืองที่มีต่อสถาบันฯ และระบอบการปกครองของประเทศ โดยงานข้อบังคับ พรรคใช้ถ้อยคำว่า "หลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ" โดยเฉพาะคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ที่ใช้ถ้อยคำว่า "จะยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย" นั้น ศาลฯ เห็นว่าควรทำให้มีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ แตกต่างจาก มาตรา 2 ของรธน. ที่ระบุประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันอาจก่อให้เกิดความแตกแยกของชนในชาติ ซึ่งกกต.มีหน้าที่ และอำนาจที่จะพิจารณาและเพิกถอน เพื่อป้องกันความสับสนขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้น สมควรที่ผู้เกี่ยวข้องจะได้ช่วยกันแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรธน.ต่อไป "
ส่วนกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ถูกร้องมีแนวคิดคลั่งไคล้ปรัชญาตะวันตก และเป็นปฏิกษัตริย์นิยม มีการแสดงความเห็นทั้งก่อน และหลังการจัดตั้งพรรคการเมือง ว่า การใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอ ในระดับที่ทำให้เกิดผล และกระทบสิทธิและเสรีภาพ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีเป็นเพียงข้อมูลข่าวสารจากเว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออินเตอร์เน็ต จึงยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 4 มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง กรณีนี้ จึงไม่เพียงพอรับฟังได้
ภายหลังรับฟังคำวินิจฉัย นายณฐพร กล่าวว่า พอใจกับคำตัดสินของศาลฯ และเป็นคำตัดสินที่ถูกต้องแล้ว ถือว่าได้ทำหน้าที่สำเร็จแล้วในการรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะตนต้องการชี้ให้ประชาชนเห็นว่า มีบางพรรคการเมืองต้องการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ต้องการกลั่นแกล้งพรรคอนาคตใหม่
"ธนาธร"พร้อมลุยงานสองขาใน-นอกสภา
ที่ชั้น 5 อาคารไทยซัมมิท ที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ภายหลังศาลฯ อ่านคำวินิจฉัยว่าไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ มวลชนที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ พร้อมชู 3 นิ้ว และตะโกนว่า "พรรคอนาคตใหม่สู้ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ"
ต่อมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค แถลงหลังศาลฯสั่งไม่ยุบพรรค โดยนายปิยบุตร กล่าวว่า กรณีนี้ไม่ควรเป็นคดีตั้งแต่แรก ยืนยันว่าพรรคไม่ได้มีความคิดล้มล้างการปกครอง สิ่งที่พวกเราคิดและทำ คือ การรักษาระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคงและยั่งยืน เพราะระบอบประชาธิปไตยไม่มีที่ยืนให้การรัฐประหาร การรัฐประหารต่างหากที่เป็นการล้มล้างการปกครองฯ ดังนั้นกองทัพที่ก่อการรัฐประหารต่างหาก ที่ล้มล้างการปกครองฯ
"แม้วันนี้คำร้องยุบพรรคจะถูกยกออกไป แต่ก็ยังมีกระบวนการร้องยุบพรรค ทำลายพรรคอนาคตใหม่อยู่ เราเชื่อว่าการร้องยุบพรรคและนิติสงครามไม่ใช่การทำให้ประชาธิปไตยยั่งยืนได้ มีแต่การเปิดพื้นที่ให้เข้ามาตามกระบวนการเท่านั้น ถึงจะพาประเทศไปสู่อนาคตแบบใหม่ได้" นายปิยบุตร กล่าว
ด้านนายธนาธร กล่าวว่าพรรคจะเดินหน้าทำงานต่อไป โดยขาหนึ่งคือการทำงานในสภาฯ ส่วนอีกด้านหนึ่งเราจะทำงานต่อเนื่องกับประชาชนนอกสภาฯ
เมื่อถามว่าจะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าการร้องเรียนไปมาไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อประชาธิปไตย ขอให้ยุติกระบวนการนิติสงคราม เพื่อมาทำงานน่าจะดีกว่า ส่วนคดีเงินกู้ของพรรคนั้นเราพร้อมต่อสู้คดี เพราะการพิจารณาของกกต. ไม่ถูกต้อง ภายหลังคณะอนุกรรมการของกกต.ได้ยกคำร้องไปแล้ว แต่กกต.ก็ยังดำเนินการต่อไป ซึ่งเราได้ฟ้องร้องเป็นคดีอาญาต่อ กกต.แล้ว ขณะเดียวกัน จะร้องขอให้ศาลฯ เปิดการไต่สวน เพื่อเรียกเอกสารและพยานบุคคลเข้ามาพิจารณา
"มีหลายพรรคกู้เงิน เงินกู้ไม่ใช่ประโยชน์ และเงินกู้เราได้ทยอยคืนไปบางส่วน และเป็นเงินใช้เพื่อทำกิจกรรมของพรรคการเมือง จึงมั่นใจว่าเราไม่มีความผิด"
เมื่อถามว่าพรรคอนาคตใหม่ จะมีดำเนินการแก้ไขข้อบังคับพรรคหรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะต้องดำเนินการแจ้งมายังพรรคอนาคตใหม่ หากเห็นว่าข้อบังคับพรรคมีความคลุมเครือ หรือไม่ชัดเจน ดังนั้นทางพรรคจะรอการพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมืองก่อน
วานนี้ (21 ม.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยกคำร้องในคดีที่ นายณฐพร โตประยูร ยื่นขอให้วินิจฉัยตามรธน.มาตรา 49 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 2 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 3 และ คณะกรรมการบริหารพรรค ผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่
โดยศาลฯเห็นว่า จากคำร้องเป็นกรณีกล่าวอ้างว่า ข้อบังคับ นโยบายพรรค และสัญญลักษณ์ของพรรคอนาคตใหม่ มีลักษณะเป็นการใช้สิทธิเพื่อล้มล้างการปกครอง และเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 14 (1) จากบทบญญัติดังกล่าว จะพบว่า เป็นอำนาจหน้าที่กกต. และนายทะเบียนพรรคการเมือง ต้องตรวจสอบว่า คำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ถูกต้องหรือไม่ เมื่อตรวจสอบถูกต้องครบถ้วนแล้ว นายทะเบียนจะรับจัดตั้งพรรค และประกาศในราชกิจจนุเบกษา ซึ่งกรณีดังกล่าวปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในกระบวนการยื่นคำขอจดจัดตั้งพรรคการเมืองอนาคตใหม่ มีการยื่นเอกสารข้อบังคับพรรค พร้อมคำประกาศอุดมการณ์ และสัญญลักษณ์พรรค นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ตรวจสอบความถูกต้อง และรับจดจัดตั้ง โดยความเห็นชอบของ กกต. และมีประกาศจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่ จึงไม่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ หากภายหลังพบว่าข้อบังคับพรรคไม่เป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องรายงานต่อ กกต.ให้มีมติเพิกถอนข้อบังคับพรรค ตาม มาตรา 17 (3)ได้ กรณีจึงไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอว่า เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปครองฯ
"การยื่นคำร้องของนายณฐพร เป็นเพียงข้อห่วงใยในฐานะพลเมืองที่มีต่อสถาบันฯ และระบอบการปกครองของประเทศ โดยงานข้อบังคับ พรรคใช้ถ้อยคำว่า "หลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ" โดยเฉพาะคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ที่ใช้ถ้อยคำว่า "จะยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย" นั้น ศาลฯ เห็นว่าควรทำให้มีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ แตกต่างจาก มาตรา 2 ของรธน. ที่ระบุประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันอาจก่อให้เกิดความแตกแยกของชนในชาติ ซึ่งกกต.มีหน้าที่ และอำนาจที่จะพิจารณาและเพิกถอน เพื่อป้องกันความสับสนขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้น สมควรที่ผู้เกี่ยวข้องจะได้ช่วยกันแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรธน.ต่อไป "
ส่วนกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ถูกร้องมีแนวคิดคลั่งไคล้ปรัชญาตะวันตก และเป็นปฏิกษัตริย์นิยม มีการแสดงความเห็นทั้งก่อน และหลังการจัดตั้งพรรคการเมือง ว่า การใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอ ในระดับที่ทำให้เกิดผล และกระทบสิทธิและเสรีภาพ แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีเป็นเพียงข้อมูลข่าวสารจากเว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออินเตอร์เน็ต จึงยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 4 มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง กรณีนี้ จึงไม่เพียงพอรับฟังได้
ภายหลังรับฟังคำวินิจฉัย นายณฐพร กล่าวว่า พอใจกับคำตัดสินของศาลฯ และเป็นคำตัดสินที่ถูกต้องแล้ว ถือว่าได้ทำหน้าที่สำเร็จแล้วในการรักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะตนต้องการชี้ให้ประชาชนเห็นว่า มีบางพรรคการเมืองต้องการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ต้องการกลั่นแกล้งพรรคอนาคตใหม่
"ธนาธร"พร้อมลุยงานสองขาใน-นอกสภา
ที่ชั้น 5 อาคารไทยซัมมิท ที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ภายหลังศาลฯ อ่านคำวินิจฉัยว่าไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ มวลชนที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ พร้อมชู 3 นิ้ว และตะโกนว่า "พรรคอนาคตใหม่สู้ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ"
ต่อมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค แถลงหลังศาลฯสั่งไม่ยุบพรรค โดยนายปิยบุตร กล่าวว่า กรณีนี้ไม่ควรเป็นคดีตั้งแต่แรก ยืนยันว่าพรรคไม่ได้มีความคิดล้มล้างการปกครอง สิ่งที่พวกเราคิดและทำ คือ การรักษาระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคงและยั่งยืน เพราะระบอบประชาธิปไตยไม่มีที่ยืนให้การรัฐประหาร การรัฐประหารต่างหากที่เป็นการล้มล้างการปกครองฯ ดังนั้นกองทัพที่ก่อการรัฐประหารต่างหาก ที่ล้มล้างการปกครองฯ
"แม้วันนี้คำร้องยุบพรรคจะถูกยกออกไป แต่ก็ยังมีกระบวนการร้องยุบพรรค ทำลายพรรคอนาคตใหม่อยู่ เราเชื่อว่าการร้องยุบพรรคและนิติสงครามไม่ใช่การทำให้ประชาธิปไตยยั่งยืนได้ มีแต่การเปิดพื้นที่ให้เข้ามาตามกระบวนการเท่านั้น ถึงจะพาประเทศไปสู่อนาคตแบบใหม่ได้" นายปิยบุตร กล่าว
ด้านนายธนาธร กล่าวว่าพรรคจะเดินหน้าทำงานต่อไป โดยขาหนึ่งคือการทำงานในสภาฯ ส่วนอีกด้านหนึ่งเราจะทำงานต่อเนื่องกับประชาชนนอกสภาฯ
เมื่อถามว่าจะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าการร้องเรียนไปมาไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อประชาธิปไตย ขอให้ยุติกระบวนการนิติสงคราม เพื่อมาทำงานน่าจะดีกว่า ส่วนคดีเงินกู้ของพรรคนั้นเราพร้อมต่อสู้คดี เพราะการพิจารณาของกกต. ไม่ถูกต้อง ภายหลังคณะอนุกรรมการของกกต.ได้ยกคำร้องไปแล้ว แต่กกต.ก็ยังดำเนินการต่อไป ซึ่งเราได้ฟ้องร้องเป็นคดีอาญาต่อ กกต.แล้ว ขณะเดียวกัน จะร้องขอให้ศาลฯ เปิดการไต่สวน เพื่อเรียกเอกสารและพยานบุคคลเข้ามาพิจารณา
"มีหลายพรรคกู้เงิน เงินกู้ไม่ใช่ประโยชน์ และเงินกู้เราได้ทยอยคืนไปบางส่วน และเป็นเงินใช้เพื่อทำกิจกรรมของพรรคการเมือง จึงมั่นใจว่าเราไม่มีความผิด"
เมื่อถามว่าพรรคอนาคตใหม่ จะมีดำเนินการแก้ไขข้อบังคับพรรคหรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะต้องดำเนินการแจ้งมายังพรรคอนาคตใหม่ หากเห็นว่าข้อบังคับพรรคมีความคลุมเครือ หรือไม่ชัดเจน ดังนั้นทางพรรคจะรอการพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมืองก่อน