ถือว่าน่าจับตาทีเดียวสำหรับการเคลื่อนไหวของ นายกรณ์ จาติกวณิช ที่ตัดสินลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากอยู่ร่วมชายคามานานถึง 15 ปี
แน่นอนว่าสำหรับนักการเมืองรายนี้คงไม่ต้องสาธยายอะไรกันมาก เชื่อว่าหลายคนทั้งที่เป็นคอการเมืองหรือไม่ก็ตามย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้ว และในทางการเมือง ทั้งในพรรคประชาธิปัตย์หรือนอกพรรคก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นระดับ“บิ๊กเนม”ได้คนหนึ่ง เป็น “ดาวฤกษ์ที่มีพลัง” ในตัวเองเหมือนกัน
เมื่อเดินออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ ก็ประกาศสร้างพรรคการเมืองใหม่ ในแนวทางใหม่ เพื่อหวังจะให้เป็นทางเลือกใหม่ ในแบบที่เรียกว่าเป็น“สตาร์ทอัป”โดยบอกว่าจะระดมคนเก่งๆ จากทุกวงการเข้ามาร่วม
"ผมมีความฝันที่อยากจะสร้างการเมืองแห่งความเปลี่ยนแปลง การเมืองที่กล้าคิดกล้าทำ มีความรอบคอบ แต่ไร้ความกลัว มีความเด็ดเดี่ยว แต่มีคุณธรรม เป็นการเมืองที่จะชวนผู้คนในสังคมไทยที่มีศักยภาพ มาร่วมกันออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน"
"สำหรับดีเอ็นเอ ของความเป็นพรรค 1. Startup ต้องกล้าคิด กล้าลุย พร้อมเปลี่ยนแปลง แต่รอบคอบ 2 . ปฏิบัตินิยม มุ่งทำงาน ลงมือจริง พูดแต่ในสิ่งที่จะทำ เข้าใจ ทักเทียมและเท่าทันโลก"
นั่นเป็นหลักการ และแนวทางในการทำพรรคการเมืองใหม่ และแนวทางใหม่ของ นายกรณ์ จาติกวณิช โดยล่าสุดได้ประกาศเชิญชวนให้คนไทยทุกคนได้ร่วมกันตั้งชื่อพรรคการเมืองใหม่ดังกล่าว “# ช่วยกรณ์ตั้งชื่อพรรค เรามาร่วมกันออกแบบประเทศไปด้วยกันครับ”
**ก็ต้องบอกว่า น่าสนใจและเรียกความกระตือรือล้นในสังคมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่สำคัญการทำการเมืองในแนวทางแบบนี้ของ นายกรณ์ จาติกวณิช ที่บอกว่าน่าสนใจ ก็คือ มันเหมือนกับเป็นทางเลือกใหม่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างพรรคการเมืองที่ถูกมองในแนวทางแบบเก่า ทั้งแบบประเภทที่มีนักการเมืองที่มีแนวทางแบบเก่า สร้างความขัดแย้งในสังคม แม้บางพรรคในปัจจุบันจะถูกมองว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ แต่ก็กำลังสร้างความขัดแย้ง แบ่งแยกในสังคม แบ่งคนรุ่นใหม่ ออกจากคนรุ่นเก่า จากแนวทางพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงสังคมแบบถอนรากถอนโคน
แน่นอนว่า บรรดาพรรคการเมืองที่ว่านั้น น่าจะมีความหมายไปในทางพรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ หรือแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ ที่เขาเดินจากมา
อย่างไรก็ดี ที่น่าจับตาก็คือ การมาของ นายกรณ์ จาติกวณิช ในครั้งนี้ กลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในแบบเฉพาะหน้าก่อนก็คือ พรรคอนาคตใหม่ และตัวผู้นำพรรคคือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยเฉพาะเป้าหมายจาก “กลุ่มคนรุ่นใหม่”ในแบบ “สตาร์ทอัป”เพราะด้วยความเคลื่อนไหว และการเสนอแนวคิดของ นายกรณ์ ที่เริ่มเปิดฉากขึ้นมา แม้ว่าจะคล้ายคลึงกับความเคลื่อนไหวในช่วงก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ของ ธนาธร ก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ด้วยบุคลิกของ นายกรณ์ ที่ผ่านการพิสูจน์ในบทบาทนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ ในแบบฉบับของเขามาช้านาน ที่สังคมเกิดความเชื่อมั่น เชื่อถือมาแล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เขาต้องอยู่ภายใต้กรอบของพรรคประชาธิปัตย์ จนไม่อาจฉายแสงออกมาได้อย่างเต็มที่
**ขณะที่เมื่อนำไปเทียบกับความเคลื่อนไหวและบทบาทของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ แม้จุดเริ่มต้นดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งในเวลานี้ มันก็ไม่ต่างจาก “สายล่อฟ้า”ที่สร้างความขัดแย้งรุนแรง จนถูกมองว่า “ขาดวุฒิภาวะ”จนถูกมองว่าไม่อาจฝากอนาคต หรือพึ่งพิงกับเขาและผู้บริหารพรรคการเมืองพรรคนี้ได้เลย เพราะรังแต่จะสร้างความขัดแย้งรุนแรง และถูกมองว่าจะเป็นการแบ่งแยกคนในสังคมระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่
สำหรับ นายกรณ์ จาติกวณิช ที่ประกาศตั้งพรรคการเมืองในแนวทางใหม่ ในแบบปฏิบัตินิยม คิดในสิ่งที่จะทำ ไม่สร้างความขัดแย้ง นาทีนี้จึงถือว่าน่าในสนใจ และได้ใจทั้งคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่าไม่น้อย เพราะเชื่อว่าที่ผ่านมาสังคมไทยน่าจะเบื่อหน่ายกับวังวนความขัดแย้ง การปะทะกันทางความคิดที่รุนแรงมาตลอด
อีกทั้งการประกาศจะเป็น “พรรคเศรษฐกิจ”โดยพยายามเน้นให้เห็นถึงความถนัดของตัวเองมาเป็นเครื่องการันตี ซึ่งผลงานที่ผ่านมาของเขาก็ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว รวมไปถึงการลงมือทำโดยการลงไปคลุกคลีกับชาวนาในภาคอีสานมาก่อนหน้านี้
**อย่างไรก็ดีสำหรับเส้นทางการเมืองไทยนั้นถือว่าตัวแปรจะเปลี่ยนไปแปลงไปตลอดเวลา และไม่เคยมีสูตรสำเร็จไม่สามารถบอกได้ว่าทำแบบนี้แล้วจะสำเร็จหรือทำแบบนี้จะล้มเหลว ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่เท่าที่เห็นแนวทางการเคลื่อนไหวของ นายกรณ์ จาติกวณิช ในเวลานี้ ถือว่าน่าสนใจ และขณะเดียวกันด้วยแนวทางแบบที่ว่านี้ย่อมสร้างผลกระทบต่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่เข้าอย่างจัง !!
แน่นอนว่าสำหรับนักการเมืองรายนี้คงไม่ต้องสาธยายอะไรกันมาก เชื่อว่าหลายคนทั้งที่เป็นคอการเมืองหรือไม่ก็ตามย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้ว และในทางการเมือง ทั้งในพรรคประชาธิปัตย์หรือนอกพรรคก็ต้องยอมรับว่าเขาเป็นระดับ“บิ๊กเนม”ได้คนหนึ่ง เป็น “ดาวฤกษ์ที่มีพลัง” ในตัวเองเหมือนกัน
เมื่อเดินออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ ก็ประกาศสร้างพรรคการเมืองใหม่ ในแนวทางใหม่ เพื่อหวังจะให้เป็นทางเลือกใหม่ ในแบบที่เรียกว่าเป็น“สตาร์ทอัป”โดยบอกว่าจะระดมคนเก่งๆ จากทุกวงการเข้ามาร่วม
"ผมมีความฝันที่อยากจะสร้างการเมืองแห่งความเปลี่ยนแปลง การเมืองที่กล้าคิดกล้าทำ มีความรอบคอบ แต่ไร้ความกลัว มีความเด็ดเดี่ยว แต่มีคุณธรรม เป็นการเมืองที่จะชวนผู้คนในสังคมไทยที่มีศักยภาพ มาร่วมกันออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน"
"สำหรับดีเอ็นเอ ของความเป็นพรรค 1. Startup ต้องกล้าคิด กล้าลุย พร้อมเปลี่ยนแปลง แต่รอบคอบ 2 . ปฏิบัตินิยม มุ่งทำงาน ลงมือจริง พูดแต่ในสิ่งที่จะทำ เข้าใจ ทักเทียมและเท่าทันโลก"
นั่นเป็นหลักการ และแนวทางในการทำพรรคการเมืองใหม่ และแนวทางใหม่ของ นายกรณ์ จาติกวณิช โดยล่าสุดได้ประกาศเชิญชวนให้คนไทยทุกคนได้ร่วมกันตั้งชื่อพรรคการเมืองใหม่ดังกล่าว “# ช่วยกรณ์ตั้งชื่อพรรค เรามาร่วมกันออกแบบประเทศไปด้วยกันครับ”
**ก็ต้องบอกว่า น่าสนใจและเรียกความกระตือรือล้นในสังคมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่สำคัญการทำการเมืองในแนวทางแบบนี้ของ นายกรณ์ จาติกวณิช ที่บอกว่าน่าสนใจ ก็คือ มันเหมือนกับเป็นทางเลือกใหม่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างพรรคการเมืองที่ถูกมองในแนวทางแบบเก่า ทั้งแบบประเภทที่มีนักการเมืองที่มีแนวทางแบบเก่า สร้างความขัดแย้งในสังคม แม้บางพรรคในปัจจุบันจะถูกมองว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ แต่ก็กำลังสร้างความขัดแย้ง แบ่งแยกในสังคม แบ่งคนรุ่นใหม่ ออกจากคนรุ่นเก่า จากแนวทางพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงสังคมแบบถอนรากถอนโคน
แน่นอนว่า บรรดาพรรคการเมืองที่ว่านั้น น่าจะมีความหมายไปในทางพรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ หรือแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ ที่เขาเดินจากมา
อย่างไรก็ดี ที่น่าจับตาก็คือ การมาของ นายกรณ์ จาติกวณิช ในครั้งนี้ กลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในแบบเฉพาะหน้าก่อนก็คือ พรรคอนาคตใหม่ และตัวผู้นำพรรคคือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยเฉพาะเป้าหมายจาก “กลุ่มคนรุ่นใหม่”ในแบบ “สตาร์ทอัป”เพราะด้วยความเคลื่อนไหว และการเสนอแนวคิดของ นายกรณ์ ที่เริ่มเปิดฉากขึ้นมา แม้ว่าจะคล้ายคลึงกับความเคลื่อนไหวในช่วงก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ของ ธนาธร ก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ด้วยบุคลิกของ นายกรณ์ ที่ผ่านการพิสูจน์ในบทบาทนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ ในแบบฉบับของเขามาช้านาน ที่สังคมเกิดความเชื่อมั่น เชื่อถือมาแล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เขาต้องอยู่ภายใต้กรอบของพรรคประชาธิปัตย์ จนไม่อาจฉายแสงออกมาได้อย่างเต็มที่
**ขณะที่เมื่อนำไปเทียบกับความเคลื่อนไหวและบทบาทของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ แม้จุดเริ่มต้นดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งในเวลานี้ มันก็ไม่ต่างจาก “สายล่อฟ้า”ที่สร้างความขัดแย้งรุนแรง จนถูกมองว่า “ขาดวุฒิภาวะ”จนถูกมองว่าไม่อาจฝากอนาคต หรือพึ่งพิงกับเขาและผู้บริหารพรรคการเมืองพรรคนี้ได้เลย เพราะรังแต่จะสร้างความขัดแย้งรุนแรง และถูกมองว่าจะเป็นการแบ่งแยกคนในสังคมระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่
สำหรับ นายกรณ์ จาติกวณิช ที่ประกาศตั้งพรรคการเมืองในแนวทางใหม่ ในแบบปฏิบัตินิยม คิดในสิ่งที่จะทำ ไม่สร้างความขัดแย้ง นาทีนี้จึงถือว่าน่าในสนใจ และได้ใจทั้งคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่าไม่น้อย เพราะเชื่อว่าที่ผ่านมาสังคมไทยน่าจะเบื่อหน่ายกับวังวนความขัดแย้ง การปะทะกันทางความคิดที่รุนแรงมาตลอด
อีกทั้งการประกาศจะเป็น “พรรคเศรษฐกิจ”โดยพยายามเน้นให้เห็นถึงความถนัดของตัวเองมาเป็นเครื่องการันตี ซึ่งผลงานที่ผ่านมาของเขาก็ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว รวมไปถึงการลงมือทำโดยการลงไปคลุกคลีกับชาวนาในภาคอีสานมาก่อนหน้านี้
**อย่างไรก็ดีสำหรับเส้นทางการเมืองไทยนั้นถือว่าตัวแปรจะเปลี่ยนไปแปลงไปตลอดเวลา และไม่เคยมีสูตรสำเร็จไม่สามารถบอกได้ว่าทำแบบนี้แล้วจะสำเร็จหรือทำแบบนี้จะล้มเหลว ทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่เท่าที่เห็นแนวทางการเคลื่อนไหวของ นายกรณ์ จาติกวณิช ในเวลานี้ ถือว่าน่าสนใจ และขณะเดียวกันด้วยแนวทางแบบที่ว่านี้ย่อมสร้างผลกระทบต่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่เข้าอย่างจัง !!