วันนี้แรกๆ...กะว่าจะเปิดเข่ง เปิดเล้า ร่อนไปแถวๆ ประเทศอิรักดูสักหน่อย เพราะเห็นว่าพวก “ผู้ก่อการร้าย” ไอซิส หรือไอซิล เริ่มทยอยกลับมาลงหลักปักฐานกันใหม่อีกซะแล้ว แต่เผอิญว่า...เห็นว่าบ้านเราวันนี้ อาจมีการตัดสินชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองของพวกเด็กๆ แห่ง “พรรคอนาคตใหม่” ว่าจะถึงขั้น “อนาคตหมด” หรือ “อนาคตไหม้” กันเลยหรือไม่ อย่างไร? เลยคงต้องขออนุญาตไปหยิบเอาเรื่อง “อารมณ์-ความรู้สึก” ของพวกเด็กๆ ทั้งหลาย มาพูดจา ว่ากล่าว เอาไว้สักนิด แม้ไม่ใช่เป็นเรื่องของแต่เฉพาะ “เด็กไทย” ล้วนๆ ก็ตาม แต่อาจนำไปใช้เป็นอุทาหรณ์สอนใจในการรับมือกับบรรดาพวกเด็กๆ ทั้งหลายได้มั่ง...
เพราะเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา...ในเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของเรานี่เอง ได้ไปนำเอารายงาน หรือข้อเขียน บทความของคอลัมนิสต์สำนักข่าว “เอเชียไทมส์ ออนไลน์” ชื่อว่า “นายแอนดรูว์ แซลมอน” (Andrew Salmon) มาเผยแพร่เอาไว้ในภาคภาษาไทย ซึ่งออกจะเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจอยู่พอสมควร โดยให้ชื่อเรื่องเอาไว้ในภาคภาษาปะกิตว่า “75% of young want to escape South Korean-Hell” หรือ “75% ของคนวัยหนุ่ม-สาว ต้องการหนีจาก...นรกเกาหลีใต้” โดยได้ไปอ้างถึงผลสำรวจความคิด ความเห็นของบรรดาคนหนุ่ม คนสาวชาวเกาหลีใต้ ที่มีอายุระหว่าง 19-34 ปี จำนวนประมาณ 5,000 คน ซึ่งเผยแพร่ ตีพิมพ์เอาไว้ในหนังสือพิมพ์ “ฮันเคียวเรห์” (Hankyoreh) ที่ว่ากันว่าขายดีที่สุดในเกาหลีใต้ และได้สะท้อนให้เห็นเด่นชัด ว่าบรรดาพวกเด็กๆ เหล่านี้โดยส่วนใหญ่ หรือประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ ต่างเกิดความรู้สึกว่าประเทศของตัวเอง อันเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่า “รวยเป็นอันดับที่ 11 ของโลก” ชนิดอาจถือเป็น “สวรรค์” ของเด็กๆ อีกหลายต่อหลายประเทศ กลับมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจาก “นรก” ระดับต้องไปหยิบเอาภาษาเก่าๆ มาตั้งชื่อ ฉายาว่าเป็น “นรกโชซอน” (Hell Joseon) เอาเลยถึงขั้นนั้น...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...บรรดาเด็กๆ ชาวเกาหลีใต้จำนวนถึง 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ได้รับการสำรวจความคิด ความเห็นประมาณ 5,000 คนที่ว่านี้ ต่างออกอาการในลักษณะที่แทบไม่ต่างไปจากผู้ที่ “รักชาติ” หรือ “หลงชาติ” ในบ้านเรา มักใช้คำเรียกขานว่าพวก “ชังชาติ” อะไรประมาณนั้น คือหนักไปทางคล้ายๆ พวกเด็กแร็พ ที่ต้องออกมาโหยหวน ครวญคราง ถึงสิ่งที่ “ประเทศ...กูมี” ในชนิดเสียๆ หายๆ หรือเลวๆ ร้ายๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้มี “เผด็จการ” อย่าง “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก” มาเป็นเงื่อนไข-เหตุปัจจัย หรือเป็นตัวสร้างบรรยากาศดังกล่าวเอาเลยแม้แต่น้อย แต่บรรดา “อารมณ์-ความรู้สึก” ทำนองนี้ ก็ยังอุตส่าห์อุบัติขึ้นมาจนได้ หรือจนอาจทำให้สิ่งที่ใครต่อใครเรียกๆ กันว่าอาการ “ชังชาติ” นั้น น่าจะไม่ใช่ “อารมณ์-ความรู้สึก” ที่มีลักษณะเฉพาะแต่เพียงภายในประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาเท่านั้น และเผลอๆ...มันอาจกลายเป็น “อารมณ์-ความรู้สึก” ในระดับ “สากล” เอาเลยก็ไม่แน่!!! โดยเฉพาะในหมู่พวกเด็กๆ หรือพวกเยาวชนคนหนุ่ม-สาวทั้งหลาย...
เพราะอย่างที่ “นายแอนดรูว์ แซลมอน” ท่านได้ตั้งคำถามและข้อสังเกตเอาไว้ไม่น้อย ว่ามันอาจเป็น “อารมณ์-ความรู้สึก” แบบเดียวกับที่ทำให้บรรดาพวกเด็กๆ ในอีกหลายต่อประเทศ ออกมาแสดงความโกรธกริ้ว ฉิวฉุน แสดงความไม่พอใจต่อสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่ ด้วยรูปแบบต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงที่ฮ่องกง การลุกฮือของผู้คนในฝรั่งเศส กรณีเบร็กซิตในอังกฤษ ความปั่นป่วนในอเมริกาที่เป็นตัวเปิดช่อง เปิดทางให้ “ทรัมป์บ้า” ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีจนได้ ไปจนถึงการประท้วงซึ่งกำลังแพร่ระบาดไปแทบจะทั่วทุกซีกโลก นับตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ฯลฯ ฯลฯ ต่างน่าจะมี “อารมณ์-ความรู้สึก” ทำนองนี้เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ไม่ว่ามากหรือน้อย โดยที่แม้ว่าคอลัมนิสต์อย่าง “นายแอนดรูว์ แซลมอน” จะยังไม่สามารถหาคำตอบ คำอธิบาย ได้อย่างถนัดชัดเจน แต่ก็พร้อมจะสรุปเอาไว้ประมาณว่า เป็นลักษณะอาการที่มักเกิดขึ้นในหมู่ “ชนชั้นกลาง” นั่นแหละเป็นหลัก!!! ถึงขั้นต้องให้คำนิยามว่าเป็น “วิกฤตชนชั้นกลาง” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ใครที่สนใจรายละเอียดในเรื่องนี้...คงต้องไปหาอ่าน หาคำตอบกันเอาเอง แต่สิ่งที่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ก็คือว่าในหมู่ผู้ที่ได้รับการยกระดับให้พ้นไปจาก “มาตรฐานความยากจน” จนกลายมาเป็นบรรดา “ชนชั้นกลาง” ทั้งหลาย ไม่ว่ากลางระดับล่าง หรือกลางระดับบนก็แล้วแต่ อันมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ ในบรรดาประเทศที่กำลังพัฒนาหรือพัฒนาแล้ว สิ่งที่กลายมาเป็น “ปัญหา” ของบรรดาผู้คนเหล่านี้ มันคงไม่ได้มีแต่เฉพาะสิ่งที่เรียกว่า “กับดักรายได้” แต่เพียงเท่านั้น แต่มันยังมีสิ่งที่อาจเรียกว่า “กับดักทางความรู้สึก” ควบคู่ไปด้วย หรือบรรดา “อารมณ์-ความรู้สึก” ที่ “นายแอนดรูว์ แซลมอน” ท่านสาธยายเอาไว้ต่างๆ นานา เช่น ความรู้สึกว่า “ตัวเองถูกปิดล้อมไม่เป็นอิสระ” ความรู้สึกว่า “มาตรฐานการครองชีพที่เคยเป็นมากำลังตกต่ำลงไปเรื่อยๆ” ความรู้สึกว่า “สิ่งที่เคยเป็นโอกาสต่างๆ กำลังลดลงหรือหายไป” ไปจนความรู้สึกในเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ” หรือความไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับชนชั้นสูงที่แม้จะมีจำนวนน้อย แต่ก็กลายเป็นแรงกระตุ้น และตัวสร้างการเปรียบเทียบให้เห็นได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางกระแสการสื่อสารในสังคมต่างๆ และในระดับโลก ที่มุ่งนำเสนอความสะดวก สบาย ความหะรูหะรา ความวิลิศมาหรา และความเป็นอิสระของบรรดาผู้ที่ก้าวข้ามพ้นไปจากความเป็นชนชั้นกลางทั้งหลาย จนทำให้บรรดาผู้ที่ตกอยู่ใน “กับดักรายได้” และ “กับดักแห่งความรู้สึก” อย่างบรรดาชนชั้นกลางในแต่ละราย ต่างอยากมี อยากได้ หรือต่างพยายามดิ้นรนด้วยกรรมวิธีการต่างๆ โดยไม่คิดจะ “พอเพียง” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
ด้วย “อารมณ์-ความรู้สึก” ทำนองนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ประเทศที่มั่งคั่ง ร่ำรวย ระดับอันดับ 11 ของโลก ประเทศที่เต็มไปด้วยหนุ่มเหน้า-สาวสวย ไม่ว่าด้วยการต่อเติม เสริมแต่งใดๆ ก็แล้วแต่ จนบรรดาเด็กและเยาวชนหลายต่อหลายประเทศ กลายเป็น “ติ่งเกาหลี” กันไปเป็นแถบๆ กลับกลายเป็น “นรก” สำหรับเด็กๆ ชาวเกาหลีใต้ไปจนได้ ชนิดต่างอยากหนีออกจากนรก หรือหนีไปอยู่ประเทศอื่น หรือเกิดอาการ “ชังชาติ” ไม่น้อยไปกว่าบรรดาเด็กๆ ในบ้านเรา ที่กำลังถูกปลุก ถูกกระตุ้นอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ว่าด้วยใครต่อใครก็แล้วแต่ และการเอาชนะ “อารมณ์-ความรู้สึก” ทำนองนี้ มันเลยคงไม่อาจหันไปอาศัยบริการของพวก “รักชาติ” หรือ “หลงชาติ” ล้วนๆ แต่เพียงเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ว่า...มันน่าจะมีอะไรที่ “ซับซ้อน” มากไปกว่านั้นอีกเยอะ ไม่อาจอาศัยกรรมวิธีแบบหยาบๆ-ง่ายๆ หรือแบบการออกมายุให้ “เดินเชียร์ลุง” เพื่อสู้กับพวก “วิ่งไล่ลุง” กันไปตามมี-ตามเกิด...
ส่วนจะเป็นวิธีไหน แบบไหน อย่างไร?...อันนั้น คงต้องไปหาคำตอบกันเอาเอง สำหรับผู้ที่รักบ้าน รักเมือง ห่วงบ้าน ห่วงเมืองทั้งหลาย แต่ด้วย “อารมณ์-ความรู้สึก” ทำนองนี้ จะไป “ดูเบา” หรือไป “ประมาท” ไม่ได้เป็นอันขาด!!! เพราะตราบใดสิ่งที่เรียกว่า “ความพอเพียง” หรือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ยังเป็นแค่คำพูด เป็นแค่คาถาเอาไว้ใช้เป็น “ยันต์กันผี” ไปเป็นพักๆ ไม่ได้ก่อให้เกิดผลในเชิงปฏิบัติอย่างเป็นจริง เป็นจัง หรืออย่างระบบเป็นกระบวนการ ตราบนั้น...ความรู้สึกไม่พอใจต่อสภาพความเป็นไปในสังคมตัวเอง ประเทศตัวเอง ที่ค่อยๆ ยกระดับและพัฒนากลายมาเป็นความ “ชังชาติ” หรือกลายมาเป็น “วิกฤตชนชั้นกลาง” ย่อมสามารถอุบัติขึ้นมาได้เสมอๆ...