“สมคิด” สั่งกระตุ้นลงทุน “เมกะโปรเจ็กต์” ดันโครงการใช้เงิน TFF ลงทุนเพิ่ม “ศักดิ์สยาม” เผยทางด่วน “พระราม3-N2” อืด ทำภาระดอกเบี้ยกองทุนเพิ่ม หนุนมอเตอร์เวย์ใช้ TFF ลงทุนแทน PPP ขณะที่ชงครม.สัญจร เคาะ 46 โครงการปี 64 ที่วงเงิน เกิน 1,000 ล. รวมมูลค่า 1.79 แสนล. หุ้นปิดพุ่ง 14.82 จุด รับข่าวรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ
วานนี้ (16 ม.ค.) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า การประชุมงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ ที่มี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่กระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมาได้มีการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการลงทุน. ในส่วนของกระทรวงคมนาคม โดยเห็นว่าควรเพิ่มการใช้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ Thailand Future Fund (TFF) ในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ มากขึ้น นอกจากนี้ได้แนะนำให้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งดำเนินโครงการตามภูมิภาค ซึ่งขณะนี้ รฟม.มีโครงการระบบขนส่งมวลชน ระบบรถไฟฟ้ารางเบา (LRT/Tram) ที่ จ.ภูเก็ต และ จ.เชียงใหม่ เป็นต้น ขณะที่เห็นว่า การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นั้นมีศักยภาพและความรู้ ในการไปลงทุนก่อสร้างทางด่วนในต่างประเทศซึ่งเริ่มจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ทั้งนี้จะต้องพิจารณาในเรื่องเงินลงทุนประกอบด้วย
“ปัจจุบัน กทพ.มีการระดมทุนกองทุน TFFวงเงินกว่า 4 หมื่นล้านบาท โดยนำมาใช้ในการลงทุนทางด่วนสายพระราม3 -ดาวคะนอง-ถนนวงแหวนรอบนอกฯ และโครงการ ทางด่วนขั้นที่3 สายเหนือ ช่วง N2 ซึ่งคณะกรรมการ (บอร์ด) ได้เห็นชอบ โครงการ N2 แล้ว แต่ยอมรับว่า การใช้เงินล่าช้า ขณะที่กองทุนTFFนั้น มีต้นทุนดอกเบี้ย จึงให้นโยบายให้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินจาก TFFและเลือกโครงการ ที่จะใช้กองทุน TFFนั้น ควรพิจารณาขนาดโครงการที่เหมาะสม มีระยะเวลาก่อสร้าง 1ปี ถึง 1 ปีครึ่ง โดยใช้โมเดลการก่อสร้างหลายสัญญาเหมือนโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์” นายศักดิ์สยาม ระบุ
หนุนมอเตอร์เวย์ใช้ TFF แทน PPP
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ในส่วนโครงการล่าช้า เพื่อไม่ให้กองทุนมีภาระดอกเบี้ยมากขึ้น เบื้องต้นได้หารือกับกระทรวงการคลังในการปรับแผนเพื่อเกลี่ยการใช้เงิน TFF ในโครงการที่มีผลตอบแทนการลงทุน เช่น โครงการมอเตอร์เวย์ ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ และสายนครปฐม - ชะอำ ของกรมทางหลวง (ทล.) ซึ่งเดิมจะใช้รูปแบบ PPP ลงทุน แต่หากสามารถปรับการใช้กองทุน TFF จะไม่มีปัญหาเรื่องเพดานหนี้สาธารณะ และหากไม่พอ สามารถระดมเงินกองทุนเพิ่มได้
“สำหรับโครงการขนาดใหญ่ ที่จะดำเนินการในปี 2563 เช่น เปิดประมูลโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง ได้แก่ สายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มธ. ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กม. กรอบวงเงิน 6,570.40 ล้านบาท, สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา กรอบวงเงินลงทุน 10,202.18 ล้านบาท มีระยะทาง 14.8 กม., สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 4.3 กม. กรอบวงเงิน 6,645.03 ล้านบาท” นายศักดิ์สยาม ระบุ
รมว.คมนาคม เปิดเผยด้วยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นอกสถานที่ (ครม.สัญจร ) ที่ จ.นราธิวาส วันที่ 21 ม.ค. กระทรวงคมนาคม จะเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการลงทุนปี 2564 ที่มีวงเงินเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 46 โครงการ วงเงินรวม 179,671.20 ล้านบาท อีกด้วย.
อีกด้าน นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าที่คาดไว้ และดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เคลื่อนไหวในแดนบวกไม่มาก หลังจากที่มีการลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งมองเป็นปัจจัยบวก แต่ตลาดบ้านเราน่าจะขึ้นตอบรับการแสดงความคิดเห็นของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่ระบุว่าจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ให้อยู่ในระดับสูง โดยในครึ่งปีแรกจะเบิกจ่าย 54% และในไตรมาส 3 สิ้นสุดมิ.ย.63 ตามปีงบประมาณ ก็จะเบิกจ่าย 70% ปัจจัยดังกล่าวนี้ส่งผลบวกต่อ หุ้นกลุ่ม Domestic plays เห็นได้จากกลุ่มแบงก์ และกลุ่มรับเหมาฯ ที่ขยับขึ้นมา
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,595.87 จุด เพิ่มขึ้น 14.82 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.94% มูลค่าการซื้อขาย 62,143.54 ล้านบาท ด้านประเภทนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,222.74 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 367.24 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,952.79 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1,097.29 ล้านบาท