ผู้จัดการรายวัน 360 - "อุตตม" เผย มีแผนเดินสายออกโรดโชว์ ดึงนักลงทุนต่างชาติทั้งยุโรปและเอเชีย หลังผู้บริหารกว่า 30 กองทุนขนาดใหญ่ทั่วโลกแสดงความสนใจ ย้ำปีนี้จะเป็นปีแห่งการลงทุนของไทย พร้อมพบรัฐมนตรีคลังฮ่องกง หนุนตลาดทุนไทยเปิดขายกองทุนรวมระหว่างประเทศ คาดลงนามข้อตกลงในไตรมาสสองปีนี้ ด้านก.ล.ต.ระบุ ความร่วมมือนี้จะทำให้การยื่นไฟล์ลิ่งข้อมูลเป็นแบบฟาสแทร็ก
วานนี้ (14 ม.ค.) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการพบปะหารือกับผู้บริหารระดับสูงจากนักลงทุนสถาบันภาคเอกชนของฮ่องกง ซึ่งทางกระทรวงการคลังจัดร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โดยมีนักลงทุนเข้าหารือกว่า 35 กองทุน รวมมูลค่าถึง 20.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำเสนอทิศทางและนโยบายเศรษฐกิจ พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย ณ โรงแรม Grand Hyatt Hong Kong
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ได้ย้ำว่า ประเทศไทยได้มีการเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในรูปแบบกายภาพและดิจิทัล โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษระเบียงตะวันออก หรือ อีอีซี ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนและช่วยส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของไทย และการวางระบบ National e-Payment เพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินของไทย ให้เข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร มองเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ และการเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาธุรกิจ สตาร์ทอัพ และ ฟินเทค
" ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งด้านการคลังและการเงิน พร้อมที่จะสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการบริโภคภายในประเทศและการลงทุน ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน โดยในการประชุมครั้งนี้ นักลงทุนสถาบัน แสดงความสนใจในเศรษฐกิจไทยและตลาดทุนไทยเป็นอย่างมาก และมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข่งแกร่ง และนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐต่างๆ ที่จะเอื้อต่อการลงทุนในระยะยาวต่อไป"
สำหรับนโยบายในปี 2563 นั้น รัฐบาลได้วางเป้าหมายให้เป็นปีแห่งการลงทุนของไทย ทางคลังพร้อมกับหน่วยงานสำคัญ จะเดินทางไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ดึงนักลงทุนต่างชาติให้เข้าลงทุนในไทยให้มากขึ้น อาทิ ออสเตรเลีย อังกฤษ และญี่ปุ่น เป็นต้น
นอกจากนี้ ทางรมว.คลังพร้อมคณะ ได้เข้าหารือทวิภาคีกับนายพอล ชาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฮ่องกง เมื่อ 13 ม.ค. 63 ที่ผ่านมา เพื่อสานต่อความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย ตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนางแคร์รี ลัม ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้ร่วมกันลงนาม เมื่อ 29 พ.ย. 62 โดยนายอุตตม ย้ำถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และแนวนโยบายของรัฐบาล ในการสนับสนุนการยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
ในส่วนความร่วมมือทางการเงินนั้น ไทยและฮ่องกงตกลงที่จะผลักดันการเชื่อมโยงตลาดทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้ามตลาดระหว่างกัน รวมถึงการเชื่อมโยงด้านข้อมูล ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างความตระหนักของนักลงทุนรายย่อยของทั้งสองฝ่าย พร้อมเดินหน้าลดอุปสรรคในระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของอีกฝ่ายได้ และการอำนวยความสะดวกในการเสนอขายหลักทรัพย์ระหว่างกัน โดยเฉพาะการเร่งดำเนินการให้ได้ข้อสรุปและมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงเรื่องการเสนอขายหน่วยลงทุนข้ามกันได้
นางณัฐญา นิยมานุสร ผู้ช่วยเลขาธิการก.ล.ต. กล่าวว่า ได้ร่วมหารือกับก.ล.ต.ของฮ่องกง เพื่อทำข้อตกลงร่วมกันในการจดทะเบียนกองทุนรวมข้ามประเทศระหว่างไทยกับฮ่องกงให้ง่ายขึ้น จากปัจจุบันที่ต้องมีขั้นตอนในการยื่นไฟล์ลิ่งจากทั้งสองประเทศ ทำให้ต้องใช้เวลามาก แต่ความร่วมมือนี้ จะสร้างช่องทางที่เป็นฟาสแทร็กให้กับทั้งสองประเทศ คาดว่าจะมีการลงนามMOUระหว่างทั้งสองประเทศภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
วานนี้ (14 ม.ค.) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการพบปะหารือกับผู้บริหารระดับสูงจากนักลงทุนสถาบันภาคเอกชนของฮ่องกง ซึ่งทางกระทรวงการคลังจัดร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โดยมีนักลงทุนเข้าหารือกว่า 35 กองทุน รวมมูลค่าถึง 20.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำเสนอทิศทางและนโยบายเศรษฐกิจ พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย ณ โรงแรม Grand Hyatt Hong Kong
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ได้ย้ำว่า ประเทศไทยได้มีการเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในรูปแบบกายภาพและดิจิทัล โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษระเบียงตะวันออก หรือ อีอีซี ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนและช่วยส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของไทย และการวางระบบ National e-Payment เพื่อพัฒนาระบบการชำระเงินของไทย ให้เข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร มองเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ และการเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาธุรกิจ สตาร์ทอัพ และ ฟินเทค
" ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งด้านการคลังและการเงิน พร้อมที่จะสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการบริโภคภายในประเทศและการลงทุน ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน โดยในการประชุมครั้งนี้ นักลงทุนสถาบัน แสดงความสนใจในเศรษฐกิจไทยและตลาดทุนไทยเป็นอย่างมาก และมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข่งแกร่ง และนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐต่างๆ ที่จะเอื้อต่อการลงทุนในระยะยาวต่อไป"
สำหรับนโยบายในปี 2563 นั้น รัฐบาลได้วางเป้าหมายให้เป็นปีแห่งการลงทุนของไทย ทางคลังพร้อมกับหน่วยงานสำคัญ จะเดินทางไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ดึงนักลงทุนต่างชาติให้เข้าลงทุนในไทยให้มากขึ้น อาทิ ออสเตรเลีย อังกฤษ และญี่ปุ่น เป็นต้น
นอกจากนี้ ทางรมว.คลังพร้อมคณะ ได้เข้าหารือทวิภาคีกับนายพอล ชาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฮ่องกง เมื่อ 13 ม.ค. 63 ที่ผ่านมา เพื่อสานต่อความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย ตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนางแคร์รี ลัม ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้ร่วมกันลงนาม เมื่อ 29 พ.ย. 62 โดยนายอุตตม ย้ำถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และแนวนโยบายของรัฐบาล ในการสนับสนุนการยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
ในส่วนความร่วมมือทางการเงินนั้น ไทยและฮ่องกงตกลงที่จะผลักดันการเชื่อมโยงตลาดทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้ามตลาดระหว่างกัน รวมถึงการเชื่อมโยงด้านข้อมูล ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างความตระหนักของนักลงทุนรายย่อยของทั้งสองฝ่าย พร้อมเดินหน้าลดอุปสรรคในระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของอีกฝ่ายได้ และการอำนวยความสะดวกในการเสนอขายหลักทรัพย์ระหว่างกัน โดยเฉพาะการเร่งดำเนินการให้ได้ข้อสรุปและมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงเรื่องการเสนอขายหน่วยลงทุนข้ามกันได้
นางณัฐญา นิยมานุสร ผู้ช่วยเลขาธิการก.ล.ต. กล่าวว่า ได้ร่วมหารือกับก.ล.ต.ของฮ่องกง เพื่อทำข้อตกลงร่วมกันในการจดทะเบียนกองทุนรวมข้ามประเทศระหว่างไทยกับฮ่องกงให้ง่ายขึ้น จากปัจจุบันที่ต้องมีขั้นตอนในการยื่นไฟล์ลิ่งจากทั้งสองประเทศ ทำให้ต้องใช้เวลามาก แต่ความร่วมมือนี้ จะสร้างช่องทางที่เป็นฟาสแทร็กให้กับทั้งสองประเทศ คาดว่าจะมีการลงนามMOUระหว่างทั้งสองประเทศภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
