“สมคิด” มอบนโยบาย กฟผ. เร่งดันศก.ฐานราก ให้ศึกษาโครงสร้างค่าไฟเฉพาะอุ้มผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการรายเล็กเพื่อลดต้นทุน ลุยโรงไฟฟ้าชุมชน-รุกธุรกิจรับยานยนต์อีวี-เร่งลงทุนรับบาทแข็ง “สนธิรัตน์” รับลูกเตรียมหารือทุกส่วนปรับโครงสร้างค่าไฟ พร้อมถกรับมือน้ำมัน วันนี้ (10 ม.ค.)
วานนี้ (9 ม.ค.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ว่า ได้มอบหมายให้กฟผ. ดูแลค่าไฟฟ้าโดยเฉพาะในช่วงความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ให้มีเพียงพอ ซึ่งก็อุ่นใจได้ว่าจะไม่เกิดปัญหา เพราะได้ร่วมมือกับกระทรวงพลังงานดูแลอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันต้องการให้ดูแลค่าไฟฟ้าให้ต่ำท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดีนักสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการรายเล็ก (ไมโครเอสเอ็มอี) เพื่อลดค่าครองชีพ
“ค่าไฟฟ้าก็มีการตรึง 4 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.63) แล้วแต่ก็อยากให้ดูแลเพราะฐานการเงินกฟผ.เองก็เข้มแข็งหากจำเป็นโดยเฉพาะกับผู้มีรายได้น้อยและเอสเอ็มอีตัวเล็ก”นายสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ กฟผ.เองมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวไปสุ่ธุรกิจแห่งอนาคต มุ่งเน้นนวัตกรรมที่จะขยายธุรกิจได้มากขึ้น โดย กฟผ.ได้มองถึงอนาคตในการทำธุรกิจในประเทศกลุ่ม CLMV ที่ขณะนี้กฟผ. มีความแข็งแรงมากและด้วยธุรกิจไฟฟ้าที่เข้มแข็งสามารถประยุกต์เทคโนโลยีไปสู่ผู้บริโภค ทำให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้ รวมถึงการมุ่งสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ที่กฟผ.ให้ความสำคัญทั้ง พลังงานทดแทน ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) แบตเตอรี่ ซึ่งรถอีวีนั้น ถือเป็นอนาคต แต่หากขาดที่ชาร์จไฟก็อาจก้าวไปได้ไม่ไกลนัก จึงมอบให้กฟผ. หาผู้ร่วมทุน ที่จะรุกสู่ธุรกิจดังกล่าว
ขณะเดียวกัน กฟผ.มีความพร้อมที่จะดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในการยกระดับพี่น้องเกษตรกรให้มีรายได้จากการเข้าร่วมโครงการที่จะนำพืชเกษตรเหลือใช้ หรือการปลุกพืชพลังงานมาเป็นเชื้อเพลิงสร้างรายได้ เพื่อทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มซึ่งจะร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ในการช่วยเหลือชุมชน เป็นต้น
“ช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งค่า ก็ได้หารือที่จะให้ กฟผ.ลงทุนมากๆในช่วงนี้โดยไม่ต้องรอช้าเพราะขณะนี้งบประมาณฯเองยังไม่ผ่านสภาฯ ก็ได้ล่าช้าช่วงที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจจึงถือเป็นมือและไม้ในการระดมการลงทุน” นายสมคิด กล่าว
ด้าน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน กล่าวเสริมว่า รองนายกฯได้มอบนโยบาย กฟผ. ที่จะดุแลค่าไฟอย่างไรไม่ให้เป็นราคาเดียวทั้งประเทศ โดยให้ดูแลค่าไฟที่เป็นของผู้มีรายได้น้อยให้ต่ำลงเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและไมโครเอสเอ็มอี เพื่อให้ต้นทุนพลังงานมีความเป็นธรรมมากขึ้นโดยจะได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยจะมองการเชื่อมโยงกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เป็นกลไกในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว
“ในส่วนของราคาน้ำมันจะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.)วันที่ 10 ม.ค. เพื่อพิจารณาว่าจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างไรในการดูแลระดับราคาน้ำมันในช่วงภาวะตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงวันเดียวกันนี้ จะหารือกับผู้บริหาร บมจ.ปตท. ที่จะใช้โอกาสนี้ให้ทั้ง กฟผ.และ ปตท.เร่งรัดการลงทุนช่วงภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่า” นายสนธิรัตน์ ระบุ
ขณะที่ นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่ากฟผ. กล่าวว่า การลงทุนปี 63 ของ กฟผ.ได้เตรียมวงเงินไว้ 36,000 ล้าน ซึ่งพร้อมจะเร่งรัดการลงทุนในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า ขณะที่ปี 64 จะลงทุนวงเงิน 40,000 ล้านบาท จำนวนนี้จะเป็นการลงทุนของสายส่ง และ 2 โรงไฟฟ้า คือ โรงไฟฟ้านครใต้ และโรงไฟฟ้าบางปะกง และยังมีวงเงินอีกราว 300,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าหลักอีก 8 แห่ง เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบ (ซีโอดี) ตั้งแต่ปี 2568-72 ที่ต้องเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม. อนุมัติในเร็วๆนี้ และคาดว่าจะสามารถจ่ายงบลงทุนได้ตั้่งแต่ปี 2566
วานนี้ (9 ม.ค.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ว่า ได้มอบหมายให้กฟผ. ดูแลค่าไฟฟ้าโดยเฉพาะในช่วงความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ให้มีเพียงพอ ซึ่งก็อุ่นใจได้ว่าจะไม่เกิดปัญหา เพราะได้ร่วมมือกับกระทรวงพลังงานดูแลอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันต้องการให้ดูแลค่าไฟฟ้าให้ต่ำท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดีนักสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการรายเล็ก (ไมโครเอสเอ็มอี) เพื่อลดค่าครองชีพ
“ค่าไฟฟ้าก็มีการตรึง 4 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.63) แล้วแต่ก็อยากให้ดูแลเพราะฐานการเงินกฟผ.เองก็เข้มแข็งหากจำเป็นโดยเฉพาะกับผู้มีรายได้น้อยและเอสเอ็มอีตัวเล็ก”นายสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ กฟผ.เองมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวไปสุ่ธุรกิจแห่งอนาคต มุ่งเน้นนวัตกรรมที่จะขยายธุรกิจได้มากขึ้น โดย กฟผ.ได้มองถึงอนาคตในการทำธุรกิจในประเทศกลุ่ม CLMV ที่ขณะนี้กฟผ. มีความแข็งแรงมากและด้วยธุรกิจไฟฟ้าที่เข้มแข็งสามารถประยุกต์เทคโนโลยีไปสู่ผู้บริโภค ทำให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้ รวมถึงการมุ่งสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ที่กฟผ.ให้ความสำคัญทั้ง พลังงานทดแทน ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) แบตเตอรี่ ซึ่งรถอีวีนั้น ถือเป็นอนาคต แต่หากขาดที่ชาร์จไฟก็อาจก้าวไปได้ไม่ไกลนัก จึงมอบให้กฟผ. หาผู้ร่วมทุน ที่จะรุกสู่ธุรกิจดังกล่าว
ขณะเดียวกัน กฟผ.มีความพร้อมที่จะดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในการยกระดับพี่น้องเกษตรกรให้มีรายได้จากการเข้าร่วมโครงการที่จะนำพืชเกษตรเหลือใช้ หรือการปลุกพืชพลังงานมาเป็นเชื้อเพลิงสร้างรายได้ เพื่อทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มซึ่งจะร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ในการช่วยเหลือชุมชน เป็นต้น
“ช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งค่า ก็ได้หารือที่จะให้ กฟผ.ลงทุนมากๆในช่วงนี้โดยไม่ต้องรอช้าเพราะขณะนี้งบประมาณฯเองยังไม่ผ่านสภาฯ ก็ได้ล่าช้าช่วงที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจจึงถือเป็นมือและไม้ในการระดมการลงทุน” นายสมคิด กล่าว
ด้าน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน กล่าวเสริมว่า รองนายกฯได้มอบนโยบาย กฟผ. ที่จะดุแลค่าไฟอย่างไรไม่ให้เป็นราคาเดียวทั้งประเทศ โดยให้ดูแลค่าไฟที่เป็นของผู้มีรายได้น้อยให้ต่ำลงเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและไมโครเอสเอ็มอี เพื่อให้ต้นทุนพลังงานมีความเป็นธรรมมากขึ้นโดยจะได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยจะมองการเชื่อมโยงกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เป็นกลไกในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว
“ในส่วนของราคาน้ำมันจะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.)วันที่ 10 ม.ค. เพื่อพิจารณาว่าจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างไรในการดูแลระดับราคาน้ำมันในช่วงภาวะตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงวันเดียวกันนี้ จะหารือกับผู้บริหาร บมจ.ปตท. ที่จะใช้โอกาสนี้ให้ทั้ง กฟผ.และ ปตท.เร่งรัดการลงทุนช่วงภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่า” นายสนธิรัตน์ ระบุ
ขณะที่ นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่ากฟผ. กล่าวว่า การลงทุนปี 63 ของ กฟผ.ได้เตรียมวงเงินไว้ 36,000 ล้าน ซึ่งพร้อมจะเร่งรัดการลงทุนในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า ขณะที่ปี 64 จะลงทุนวงเงิน 40,000 ล้านบาท จำนวนนี้จะเป็นการลงทุนของสายส่ง และ 2 โรงไฟฟ้า คือ โรงไฟฟ้านครใต้ และโรงไฟฟ้าบางปะกง และยังมีวงเงินอีกราว 300,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าหลักอีก 8 แห่ง เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบ (ซีโอดี) ตั้งแต่ปี 2568-72 ที่ต้องเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม. อนุมัติในเร็วๆนี้ และคาดว่าจะสามารถจ่ายงบลงทุนได้ตั้่งแต่ปี 2566