การประกาศยืนยันที่เพิ่งออกมาจากปากของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่าจะเดินทางไปพบเจ้าพนักงานตำรวจตามหมายเรียก ในคดีการชุมนุมแฟลชม็อบ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยเขาย้ำว่าจะเดินทางไปพบในวันที่ 10 มกราคม ที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ หลังจากก่อนหน้าได้ให้ทนายความขอเลื่อนเมื่อตอนปลายเดือนธันวาคม โดยอ้างว่าติดภารกิจไปร่วมงานปีใหม่ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ทางภาคเหนือ
หากมองอีกมุมหนึ่งการยืนยันวันที่ และเวลาที่จะเดินทางไปพบเจ้าพนักงานตำรวจในวันดังกล่าว มันก็เหมือนกับการโพนทนาหรือป่าวประกาศให้บรรดาผู้สนับสนุนทั้งหลายร่วมเดินทางไปให้กำลังใจกับเขาด้วย เพราะนอกจากต้องการสร้างความกดดันกับเจ้าหน้าที่ แล้วยังอาจหวังผลทางการเมืองในกิจกรรมอื่นที่กำลังจะตามมาในเวลาไล่เลี่ยกันถัดมาจากนั้น ดังนั้นหากมีความเคลื่อนไหวเรื่องใดก็ต้อง “ตีปี๊บ”หรือพยายามสร้างกระแสให้มากที่สุด
แน่นอนว่ากิจกรรมหลักที่พวกเขารวมทั้งเครือข่ายพวกเดียวกันกำลังจะมาถึงในวันที่ 12 มกราคมนี้ ในชื่อที่เรียกว่า“วิ่งไล่ลุง”แม้จะไม่ได้ระบุว่าเป้าหมายคือ “ไล่ลุงคนไหน”เพราะรู้กันว่าเป็น“ลูกเล่น”สำหรับเรียกกระแส หรือพยายามเลี่ยงเป็นข้ออ้างไม่ให้เป็นกิจกรรมการเมือง และไม่ไร้เดียงสาจนเกินไปก็ต้องรู้ว่า มีเจตนาก็คือ “วิ่งไล่ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั่นแหละ
และถัดมาในวันที่ 21 มกราคม เช่นเดียวกันก็มีนัดที่ศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการอ่านคำวินิจฉัยในคดีถูกร้องว่ากระทำความผิด มีเจตนา “ล้มล้างการปกครอง”รวมไปถึงอีกคดีหนึ่งสำคัญไม่แพ้กันก็คือ คดีปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191.2 ล้านบาท ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญให้ชี้แจงภายใน 15 วัน มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็น่าจะครบกำหนดแล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็อาจใช้วิธีการเดิมก็คือ การมอบหมายให้ทนายความไปยื่นขอขยายเวลาชี้แจงออกไปอีกเหมือนกับที่เคยทำในหลายกรณีก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ว่ากันไป
**หากมีการเชื่อมโยงกันให้เข้าใจกันดีแล้วว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคอนาคตใหม่ และกิจกรรมวิ่งไล่ลุง เป็นเรื่องเดียวกัน หรือก่อนหน้านี้ที่เคยเปิดหน้าระดมมวลชนลงท้องถนน มีการชุมนุมแบบแฟลชม็อบดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ จากกรณีปล่อยเงินกู้ให้กับพรรค ทำให้เข้าใจว่านี่คือกิจกรรมที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมาเพื่อสร้างแรงกดดันต่อการวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่ จากคำร้องที่ถูกกล่าวหาในเรื่องการล้มล้างการปกครอง ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 21 มกราคมนี้
ที่ผ่านมาบรรดาแกนนำพรรคอนาคตใหม่ เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เริ่มมีความกดดันในหลายเรื่อง โดยเฉพาะในคดีสำคัญดังกล่าวที่จะมีผลต่ออนาคตทางการเมือง รวมไปถึงการ “เสี่ยงคุก”อีกด้วย และที่น่าจับตาในเบื้องต้นก่อนก็คือ ทุกคดีที่ว่านั้นมีความเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตามมาอีกด้วย
แม้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาพยายามยืนยันด้วยความมั่นใจว่า ไม่มีทางที่จะถูกยุบพรรค และยังกล่าวหาโจมตีกระบวนการยุติธรรม โดยพุ่งเป้าไปที่ตุลาการหลายคนว่าอาจจะมีธงในการดำเนินคดีกับพรรคอนาคตใหม่อีกด้วย
ขณะเดียวกันยังกล่าวหาในทำนองว่าทุกคดีล้วนมีเหตุจูงใจทางการเมืองเพื่อหวังสกัดกั้นการเติบโตของพรรคอนาคตใหม่ทั้งสิ้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแทบทุกเรื่องทุกคดี ล้วนมีสาเหตุมาจากคำพูดและพฤติกรรมของแกนนำพรรค โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทั้งสิ้น เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ต้องพ้นจากสมาชิกภาพ ส.ส.เนื่องจากขาดคุณสมบัติจากการถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เป็นต้น
หากพิจารณากันอย่างเข้าใจ นับจากนี้ทุกกิจกรรมของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เชื่อว่ายิ่งจะต้องอิงมวลชนให้มากที่สุด เพื่อหวังสร้างกระแสกดดันให้ได้มากที่สุด เหมือนกับในวันที่ 10 มกราคมนี้ ที่มีกำหนดไปพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจก็ต้องป่าวประกาศขอกำลังใจจากผู้สนับสนุนให้ได้มากที่สุด ต่อเนื่องไปถึงกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในวันที่ 12 มกราคม เพิ่มโหมโรงก่อนที่จะถึงวันสำคัญใน วันที่ 21 มกราคม ที่จะมีการชี้ชะตาในศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ว่าจะถูกยุบพรรคอนาคตใหม่หรือไม่
**แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น ทุกกิจกรรมที่จะต้องระดมมวลชนออกมา เพื่อสร้างกระแสให้ได้มากที่สุด ซึ่งเชื่อว่าต้องลุ้นกันตัวโก่ง เพราะหากไม่เข้าเป้า มันก็จบเห่ !!
หากมองอีกมุมหนึ่งการยืนยันวันที่ และเวลาที่จะเดินทางไปพบเจ้าพนักงานตำรวจในวันดังกล่าว มันก็เหมือนกับการโพนทนาหรือป่าวประกาศให้บรรดาผู้สนับสนุนทั้งหลายร่วมเดินทางไปให้กำลังใจกับเขาด้วย เพราะนอกจากต้องการสร้างความกดดันกับเจ้าหน้าที่ แล้วยังอาจหวังผลทางการเมืองในกิจกรรมอื่นที่กำลังจะตามมาในเวลาไล่เลี่ยกันถัดมาจากนั้น ดังนั้นหากมีความเคลื่อนไหวเรื่องใดก็ต้อง “ตีปี๊บ”หรือพยายามสร้างกระแสให้มากที่สุด
แน่นอนว่ากิจกรรมหลักที่พวกเขารวมทั้งเครือข่ายพวกเดียวกันกำลังจะมาถึงในวันที่ 12 มกราคมนี้ ในชื่อที่เรียกว่า“วิ่งไล่ลุง”แม้จะไม่ได้ระบุว่าเป้าหมายคือ “ไล่ลุงคนไหน”เพราะรู้กันว่าเป็น“ลูกเล่น”สำหรับเรียกกระแส หรือพยายามเลี่ยงเป็นข้ออ้างไม่ให้เป็นกิจกรรมการเมือง และไม่ไร้เดียงสาจนเกินไปก็ต้องรู้ว่า มีเจตนาก็คือ “วิ่งไล่ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั่นแหละ
และถัดมาในวันที่ 21 มกราคม เช่นเดียวกันก็มีนัดที่ศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการอ่านคำวินิจฉัยในคดีถูกร้องว่ากระทำความผิด มีเจตนา “ล้มล้างการปกครอง”รวมไปถึงอีกคดีหนึ่งสำคัญไม่แพ้กันก็คือ คดีปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191.2 ล้านบาท ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญให้ชี้แจงภายใน 15 วัน มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็น่าจะครบกำหนดแล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็อาจใช้วิธีการเดิมก็คือ การมอบหมายให้ทนายความไปยื่นขอขยายเวลาชี้แจงออกไปอีกเหมือนกับที่เคยทำในหลายกรณีก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ว่ากันไป
**หากมีการเชื่อมโยงกันให้เข้าใจกันดีแล้วว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคอนาคตใหม่ และกิจกรรมวิ่งไล่ลุง เป็นเรื่องเดียวกัน หรือก่อนหน้านี้ที่เคยเปิดหน้าระดมมวลชนลงท้องถนน มีการชุมนุมแบบแฟลชม็อบดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ จากกรณีปล่อยเงินกู้ให้กับพรรค ทำให้เข้าใจว่านี่คือกิจกรรมที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมาเพื่อสร้างแรงกดดันต่อการวินิจฉัยคดียุบพรรคอนาคตใหม่ จากคำร้องที่ถูกกล่าวหาในเรื่องการล้มล้างการปกครอง ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 21 มกราคมนี้
ที่ผ่านมาบรรดาแกนนำพรรคอนาคตใหม่ เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เริ่มมีความกดดันในหลายเรื่อง โดยเฉพาะในคดีสำคัญดังกล่าวที่จะมีผลต่ออนาคตทางการเมือง รวมไปถึงการ “เสี่ยงคุก”อีกด้วย และที่น่าจับตาในเบื้องต้นก่อนก็คือ ทุกคดีที่ว่านั้นมีความเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตามมาอีกด้วย
แม้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาพยายามยืนยันด้วยความมั่นใจว่า ไม่มีทางที่จะถูกยุบพรรค และยังกล่าวหาโจมตีกระบวนการยุติธรรม โดยพุ่งเป้าไปที่ตุลาการหลายคนว่าอาจจะมีธงในการดำเนินคดีกับพรรคอนาคตใหม่อีกด้วย
ขณะเดียวกันยังกล่าวหาในทำนองว่าทุกคดีล้วนมีเหตุจูงใจทางการเมืองเพื่อหวังสกัดกั้นการเติบโตของพรรคอนาคตใหม่ทั้งสิ้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแทบทุกเรื่องทุกคดี ล้วนมีสาเหตุมาจากคำพูดและพฤติกรรมของแกนนำพรรค โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทั้งสิ้น เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ต้องพ้นจากสมาชิกภาพ ส.ส.เนื่องจากขาดคุณสมบัติจากการถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เป็นต้น
หากพิจารณากันอย่างเข้าใจ นับจากนี้ทุกกิจกรรมของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เชื่อว่ายิ่งจะต้องอิงมวลชนให้มากที่สุด เพื่อหวังสร้างกระแสกดดันให้ได้มากที่สุด เหมือนกับในวันที่ 10 มกราคมนี้ ที่มีกำหนดไปพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจก็ต้องป่าวประกาศขอกำลังใจจากผู้สนับสนุนให้ได้มากที่สุด ต่อเนื่องไปถึงกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในวันที่ 12 มกราคม เพิ่มโหมโรงก่อนที่จะถึงวันสำคัญใน วันที่ 21 มกราคม ที่จะมีการชี้ชะตาในศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ว่าจะถูกยุบพรรคอนาคตใหม่หรือไม่
**แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น ทุกกิจกรรมที่จะต้องระดมมวลชนออกมา เพื่อสร้างกระแสให้ได้มากที่สุด ซึ่งเชื่อว่าต้องลุ้นกันตัวโก่ง เพราะหากไม่เข้าเป้า มันก็จบเห่ !!