xs
xsm
sm
md
lg

"ธนาธร"ระทึกดอกนี้สาหัส คดีล้มล้างการปกครอง!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

เข้าใจตรงกันทันทีเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือแจ้งไปยังผู้ถูกร้องในคดีล้มล้างการปกครอง ไม่รับคำร้องให้มีการไต่สวนพยาน โดยศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่า คดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่จำเป็นต้องทำการไต่สวน
**นั่นก็หมายความว่า ทั้งพรรคอนาคตใหม่ ผู้ถูกร้องที่ 1 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ 2 นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ 3 และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ที่ 4 ต้องตกอยู่ในภาวะคับขัน ลุ้นระทึกทันที เพราะหากมีผลออกมาเป็นลบผลที่จะตามมานั้นมันใหญ่หลวงนัก
สำหรับคดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจาก นายณฐพร โตประยูร ได้ยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าด้วยบุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ กล่าวหาผู้ถูกร้องดังกล่าว โดยมีการร้องไปตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2562
ที่ผ่านมาฝ่ายผู้ถูกร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ไต่สวนพยานและคำร้องขอยื่นบัญชีพยาน ฉบับลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 และ ศาลฯได้ยกคำร้องเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ในความหมายก็คือ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องให้มีการไต่สวนพยานเพิ่มเติม เนื่องจากเห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว หลังจากนี้ก็รอลุ้นกันว่าศาลฯจะนัดวันวินิจฉัยเป็นวันใดเท่านั้น ถือว่าเป็นวันนับถอยหลังต้องคอยลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลาว่าหวยจะออกมาแบบไหน บวกหรือลบ บวก ก็คือไม่วินิจฉัย ยุติคดีจากพยานหลักฐานที่ไม่เพียงพอ
**ในทางตรงกันข้าม ผลออกมาเป็นลบ นั่นคือ มีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ และเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของผู้ถูกร้องที่ 2-4 คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ กรรมการบริหารพรรค
และเมื่อพิจารณาจากอาการของคนในพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะหลังจากได้รับหนังสือแจ้งมาจากศาลรัฐธรรมนูญ ว่ายกคำร้องในการไต่สวนพยาน พวกเขาก็เริ่มตีเกราะเคาะไม้ดังลั่นไปทั่วคุ้งน้ำให้จับตามองการวินิจฉัยคดีนี้ ซึ่งในความหมายไม่ต่างจากการเรียกระดมพลกันเลยทีเดียว
ก็อย่างที่รับรู้กันแล้วว่าผลของคดีนี้มันหนักหนาสาหัส เพราะหากผลออกมาเป็นลบมันก็จะ “จบอนาคต”ทันที ไม่ต่างจากถูก “ประหารชีวิต”ทางการเมือง และคดีที่ว่านี้ผลของมันจะสะเทือนไปไกลมากกว่าคดีก่อนหน้านี้คือ คดีถือหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่คดีนั้นจำกัดในเบื้องต้นเอาไว้แค่เฉพาะบุคคล คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพ้นสภาพจากการเป็น ส.ส.เพียงบุคคลเดียวก่อน
แต่สำหรับคดีที่ถูกร้องคดีหลังนี้ ที่เป็นคดีที่เป็นปฏิปักษ์หรือล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นมันใหญ่หลวงมาก เพราะต้อง “ไปกันทั้งยวง”และยังต้องมีผลทางคดีต่อเนื่องตามมาอีก
ต้องบอกว่าหากนับรวมเอาคดีล้มล้างการปกครองฯรวมเข้าไปเป็นคดีล่าสุด นอกเหนือจากก่อนหน้านี้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ร้องศาลรัฐธรรมนูญ ให้ยุบพรรคอนาคตใหม่จากกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ปล่อยเงินกู้กว่า 191 ล้านบาท ให้กับพรรค และที่ผ่านมาศาลฯ ก็รับคำร้องไว้พิจารณาแล้วด้วย และบังเอิญว่าหลังจากทราบว่าถูกยื่นคำร้องยุบพรรค นายธนาธร ก็ประกาศระดมมวลชนชุมนุมบนท้องถนน ที่เรียกว่า “แฟลชม็อบ”เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา และก็กำลังถูกดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต
แม้ว่าในทางคดีแบบนี้โทษอาจจะไม่ได้ร้ายแรงมาก อาจจะแค่ปรับหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่น่าหนักใจ เท่ากับคดีที่ถูกร้องให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ จากกรณีปล่อยเงินกู้ และล่าสุดเพิ่มเข้ามาอีกคดี คือคดีล้มล้างการปกครองฯ ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ยกคำร้องเรื่องการขอไต่สวนพยานฯ เนื่องจากเห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้ว และรอเพียงกำหนดนัดหมายว่าจะมีการวินิจฉัยวันใดเท่านั้นเอง
แม้ว่าที่ผ่านมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และแกนนำสำคัญของพรรคอนาคตใหม่ เช่น นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค จะถูกดำเนินคดีมาหลายคดีแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นคดีอาญา แต่สำหรับสองสามคดีดังกล่าวมา ล้วนเกี่ยวพันกับอนาคตทางการเมืองที่ถือว่าเป็น“เส้นทางหลัก” เพราะหากผลออกมาในทางลบเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับคดี “ถือหุ้นสื่อ”ก่อนหน้านี้ มันก็ยิ่งชวนให้ติดตามแบบอย่ากระพริบตา
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณาจากอาการของพวกเขา ตั้งแต่คดีที่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค จากกรณีปล่อยเงินกู้กว่า 191 ล้านบาท แล้วก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีความพยายามให้มวลชนมากดดันศาลฯ จากการชุมนุม “แฟลชม็อบ”ดังกล่าวรวมไปถึงการประกาศผ่านเพจของพรรคอนาคตใหม่ ที่เรียกร้องให้สังคมจับตาคดีที่จะถูกศาลฯ วินิจฉัยในคดีล้มล้างการปกครองฯในอีกไม่กี่วันข้างหน้ามันก็ไม่ต่างจากการปลุกระดมมวลชนหรือเปล่า
**หากพิจารณาจากอาการแล้วมันก็เหมือนกับการ “นั่งไม่ติด”แต่ก็พอเข้าใจได้ เพราะมันมีความเสี่ยงกับผลกระทบที่อาจตามมาใหญ่หลวงเข้าขั้นสาหัสนั่นเอง !!
กำลังโหลดความคิดเห็น