หากไม่นับเอาเชียงใหม่หรือพื้นที่ทางภาคเหนือก็ต้องบอกว่าจังหวัดขอนแก่นและพื้นที่ทางภาคอีสาน ถือว่าเป็นเมืองหลวงทางการเมืองของเครือข่าย"ทักษิณ ชินวัตร" มาช้านาน เพราะพื้นที่ดังกล่าวถือว่าเป็นฐานเสียงหลักถึงขั้นที่ว่า ในยุคหนึ่งมีการเปรียบเปรยกันในแบบยอมรับสภาพความพ่ายแพ้ในทำนองว่าแค่ส่ง “เสาไฟฟ้า”ลงไปก็ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งในความเป็นจริงมันก็เคยเป็นแบบนั้น เพราะไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อพรรค จากไทยรักไทย มาจนถึงเพื่อไทย พวกเขาก็ได้รับการเลือกตั้งถล่มทลาย
อย่างไรก็ดี ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่พวกเขาดำเนินยุทธศาสตร์ทางการเมืองผิดพลาด จนนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักษาชาติ และไม่สามารถรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ และเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พรรคเพื่อไทย ที่ถือว่าเป็นเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้กุมอำนาจรัฐหลังการเลือกตั้ง ต้องกลายมาเป็นฝ่ายค้านแบบจำใจ
ขณะเดียวกันการเป็นฝ่ายค้านของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ มองอีกด้านหนึ่งมันก็ไม่ต่างจากคนไร้ประสบการณ์ ไม่มีความพร้อม ประกอบกับภายใต้กติกาใหม่ที่ส่งผลให้บรรดาแกนนำคนสำคัญของพรรคไม่ได้เป็นส.ส.ในแบบบัญชีรายชื่อ ไม่ได้เข้าสภาฯแบบเรียบวุธ มันก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อเกมในสภาฯ ที่ต้องขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด และแม้ว่าหากเปรียบเทียบเสียงกับฝ่ายรัฐบาลที่แม้จะมีเสียงคู่คี่ ก้ำกึ่ง ที่ฝ่ายรัฐบาลมีเสียง “ปริ่มน้ำ”แต่ยิ่งนานไปกลับยิ่งมีพลังกดดันลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ
เมื่อวกกลับมาที่การเลือกตั้งซ่อมจังหวัดขอนแก่น เขต 7 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย คือ "นายธนิก มาสีพิทักษ์" พ่ายแพ้ให้กับผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ คือ "นายสมศักดิ์ คุณเงิน" โดย นายธนิก ได้ 38,010 คะแนน ขณะที่ นายสมศักดิ์ได้ไป 40,252 คะแนน โดยพ่ายแพ้ไป 2,242 คะแนน แน่นอนว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ย่อมมีองค์ประกอบหรือปัจจัยหลายอย่างที่ต้องนำมาถกเถียงกัน แต่ผลที่ออกมาตามที่เห็นคือ พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ และที่สำคัญยังต้องเสียเก้าอี้ส.ส.ให้กับฝ่ายรัฐบาลคือ พรรคพลังประชารัฐ ไปอีก 1 ที่นั่ง เพราะเดิมเป็นเก้าอี้ของพรรคเพื่อไทย นั่นคือเคยเป็นของ"นายนวัธ เตาะเจริญสุข" ที่ถูกศาลสั่งประหารชีวิตจากคดีจ้างวานฆ่าผู้อื่น จนต้องมีการเลือกตั้งใหม่ดังกล่าว
กลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยและฝ่ายค้านเสียเก้าอี้ไปหนึ่งที่นั่ง และกลับไปเพิ่มที่นั่งให้กับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งในภาวะเสียงปริ่มน้ำแบบนี้ทุกเสียงย่อมมีความหมาย และคราวนี้ความหมายก็คือพรรคพลังประชารัฐ“มีกำไร”
แต่ที่นอกเหนือจากนั้นก็คือ มันเสียหายทั้งเครดิต และเสียหายทั้ง“ยุทธศาสตร์”ของพรรคที่เดินอยู่ในเวลานี้ เพราะอย่างที่รับรู้กันไปแล้วก็คือ พื้นที่ภาคอีสานเป็นฐานเสียงอันเหนียวแน่นของพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร และสำหรับจังหวัดขอนแก่นมันก็ไม่ต่างจาก “เมืองหลวงทางการเมือง”ของพวกเขา แม้ว่าในการเลือกตั้งที่ผ่านมาในจังหวัดนี้พวกเขายังสามารถรักษาพื้นที่ส่วนใหญ่เอาไว้ได้ มีเพียงไม่มีเขตเลือกตั้งเท่านั้นที่พ่ายแพ้ให้กับพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งใน เขต 7 ก็เคยเป็นส.ส.พรรคเพื่อไทย ก่อนการเลือกตั้งซ่อม
แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาอย่างที่เห็น มองกันเป็นความจริงอยู่ตรงหน้าแบบไม่มีอะไรซับซ้อนคือพรรคเพื่อไทย แพ้ให้กับพรรคพลังประชารัฐ และในคำถามที่ว่ามนต์ขลังของ ทักษิณ ชินวัตร อ่อนแรงไปแล้วหรือ แน่นอนว่าอาจมีเสียงโต้แย้งกล่าวหาแบบ “แพ้แล้วไม่ยอมรับ”ก็คือเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามใช้อำนาจรัฐ หรือโกง อะไรทำนองนี้ ก็ว่ากันไป แต่นาทีนี้ก็คือ “แพ้”และยังมีแนวโน้มกระทบต่อยุทธศาสตร์ของพรรคในอนาคตอีกด้วย
** นั่นคือ ขอนแก่นที่ถือว่าเป็นเมืองหลวงทางการเมืองในภาคอีสานของพรรคเพื่อไทย “แตกแล้ว”ทั้งที่ระดับแกนนำหลายคนลงไปฝังตัวในพื้นที่เป็นเวลานาน โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งของพรรค ได้กล่าวขอบคุณทุกคะแนนเสียง แต่ก็เปิดเผยให้ทราบว่า เธอได้ลงไปอยู่ในพื้นที่ถึงกว่า 20 วัน แต่ก็ไม่สำเร็จ
ที่สำคัญผลการเลือกตั้งยังเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามคือ พรรคพลังประชารัฐรุกคืบเข้ามาอีกเป็นแผง และถัดมาก็คือมีผลกระทบต่อการทำงานในสภาฯ ที่นอกเหนือจากเสียงของฝ่ายค้านลดลงแล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวที่อาจมี “งูเห่า”และส.ส.ฝ่ายค้าน ย้ายข้างเพิ่มขึ้นอีก
ขณะเดียวกัน หากโฟกัสเข้าไปภายในพรรคเพื่อไทยในเวลาอันใกล้นี้ก็มีแนวโน้มจะเกิดแรงกระเพื่อมตามมาอีก เพราะหากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ไม่นานนักที่มีข่าวว่า มีส.ส.พรรคเพื่อไทยนับสิบคน เดินทางไปพบทักษิณ ชินวัตร ถึงดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต เพื่อขอให้ปลด คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พ้นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ครั้งนั้นมีหลายคนที่ไป เช่น สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นต้น ตามข่าวบอกว่าพวกส.ส.โดยเฉพาะในภาคอีสานไม่พอใจ แต่เรื่องก็เงียบเหมือนกับมีการเคลียร์กันได้ หรืออาจวางเฉย หรืออาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา เนื่องจากยังเป็นช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม อาจมีผลกระทบได้ไม่คุ้มเสีย
** แต่มาถึงวันนี้ เมื่อผลการเลือกตั้งซ่อม ที่ขอนแก่น เขต 7 ออกมาอย่างที่เห็น แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระเทือนกับพรรคเพื่อไทยอย่างหนักแน่ อย่างน้อยในด้านยุทธศาสตร์ของพรรคในพื้นที่ภาคอีสานที่มีแนวโน้มถดถอยและกระจุยกระจายออกไปเรื่อยๆ เพราะถือว่างานนี้เสียหายหนักมาก !!
อย่างไรก็ดี ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่พวกเขาดำเนินยุทธศาสตร์ทางการเมืองผิดพลาด จนนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักษาชาติ และไม่สามารถรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ และเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พรรคเพื่อไทย ที่ถือว่าเป็นเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้กุมอำนาจรัฐหลังการเลือกตั้ง ต้องกลายมาเป็นฝ่ายค้านแบบจำใจ
ขณะเดียวกันการเป็นฝ่ายค้านของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ มองอีกด้านหนึ่งมันก็ไม่ต่างจากคนไร้ประสบการณ์ ไม่มีความพร้อม ประกอบกับภายใต้กติกาใหม่ที่ส่งผลให้บรรดาแกนนำคนสำคัญของพรรคไม่ได้เป็นส.ส.ในแบบบัญชีรายชื่อ ไม่ได้เข้าสภาฯแบบเรียบวุธ มันก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อเกมในสภาฯ ที่ต้องขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด และแม้ว่าหากเปรียบเทียบเสียงกับฝ่ายรัฐบาลที่แม้จะมีเสียงคู่คี่ ก้ำกึ่ง ที่ฝ่ายรัฐบาลมีเสียง “ปริ่มน้ำ”แต่ยิ่งนานไปกลับยิ่งมีพลังกดดันลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ
เมื่อวกกลับมาที่การเลือกตั้งซ่อมจังหวัดขอนแก่น เขต 7 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย คือ "นายธนิก มาสีพิทักษ์" พ่ายแพ้ให้กับผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ คือ "นายสมศักดิ์ คุณเงิน" โดย นายธนิก ได้ 38,010 คะแนน ขณะที่ นายสมศักดิ์ได้ไป 40,252 คะแนน โดยพ่ายแพ้ไป 2,242 คะแนน แน่นอนว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ย่อมมีองค์ประกอบหรือปัจจัยหลายอย่างที่ต้องนำมาถกเถียงกัน แต่ผลที่ออกมาตามที่เห็นคือ พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ และที่สำคัญยังต้องเสียเก้าอี้ส.ส.ให้กับฝ่ายรัฐบาลคือ พรรคพลังประชารัฐ ไปอีก 1 ที่นั่ง เพราะเดิมเป็นเก้าอี้ของพรรคเพื่อไทย นั่นคือเคยเป็นของ"นายนวัธ เตาะเจริญสุข" ที่ถูกศาลสั่งประหารชีวิตจากคดีจ้างวานฆ่าผู้อื่น จนต้องมีการเลือกตั้งใหม่ดังกล่าว
กลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยและฝ่ายค้านเสียเก้าอี้ไปหนึ่งที่นั่ง และกลับไปเพิ่มที่นั่งให้กับฝ่ายรัฐบาล ซึ่งในภาวะเสียงปริ่มน้ำแบบนี้ทุกเสียงย่อมมีความหมาย และคราวนี้ความหมายก็คือพรรคพลังประชารัฐ“มีกำไร”
แต่ที่นอกเหนือจากนั้นก็คือ มันเสียหายทั้งเครดิต และเสียหายทั้ง“ยุทธศาสตร์”ของพรรคที่เดินอยู่ในเวลานี้ เพราะอย่างที่รับรู้กันไปแล้วก็คือ พื้นที่ภาคอีสานเป็นฐานเสียงอันเหนียวแน่นของพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร และสำหรับจังหวัดขอนแก่นมันก็ไม่ต่างจาก “เมืองหลวงทางการเมือง”ของพวกเขา แม้ว่าในการเลือกตั้งที่ผ่านมาในจังหวัดนี้พวกเขายังสามารถรักษาพื้นที่ส่วนใหญ่เอาไว้ได้ มีเพียงไม่มีเขตเลือกตั้งเท่านั้นที่พ่ายแพ้ให้กับพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งใน เขต 7 ก็เคยเป็นส.ส.พรรคเพื่อไทย ก่อนการเลือกตั้งซ่อม
แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาอย่างที่เห็น มองกันเป็นความจริงอยู่ตรงหน้าแบบไม่มีอะไรซับซ้อนคือพรรคเพื่อไทย แพ้ให้กับพรรคพลังประชารัฐ และในคำถามที่ว่ามนต์ขลังของ ทักษิณ ชินวัตร อ่อนแรงไปแล้วหรือ แน่นอนว่าอาจมีเสียงโต้แย้งกล่าวหาแบบ “แพ้แล้วไม่ยอมรับ”ก็คือเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามใช้อำนาจรัฐ หรือโกง อะไรทำนองนี้ ก็ว่ากันไป แต่นาทีนี้ก็คือ “แพ้”และยังมีแนวโน้มกระทบต่อยุทธศาสตร์ของพรรคในอนาคตอีกด้วย
** นั่นคือ ขอนแก่นที่ถือว่าเป็นเมืองหลวงทางการเมืองในภาคอีสานของพรรคเพื่อไทย “แตกแล้ว”ทั้งที่ระดับแกนนำหลายคนลงไปฝังตัวในพื้นที่เป็นเวลานาน โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งของพรรค ได้กล่าวขอบคุณทุกคะแนนเสียง แต่ก็เปิดเผยให้ทราบว่า เธอได้ลงไปอยู่ในพื้นที่ถึงกว่า 20 วัน แต่ก็ไม่สำเร็จ
ที่สำคัญผลการเลือกตั้งยังเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามคือ พรรคพลังประชารัฐรุกคืบเข้ามาอีกเป็นแผง และถัดมาก็คือมีผลกระทบต่อการทำงานในสภาฯ ที่นอกเหนือจากเสียงของฝ่ายค้านลดลงแล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวที่อาจมี “งูเห่า”และส.ส.ฝ่ายค้าน ย้ายข้างเพิ่มขึ้นอีก
ขณะเดียวกัน หากโฟกัสเข้าไปภายในพรรคเพื่อไทยในเวลาอันใกล้นี้ก็มีแนวโน้มจะเกิดแรงกระเพื่อมตามมาอีก เพราะหากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ไม่นานนักที่มีข่าวว่า มีส.ส.พรรคเพื่อไทยนับสิบคน เดินทางไปพบทักษิณ ชินวัตร ถึงดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต เพื่อขอให้ปลด คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พ้นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ครั้งนั้นมีหลายคนที่ไป เช่น สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นต้น ตามข่าวบอกว่าพวกส.ส.โดยเฉพาะในภาคอีสานไม่พอใจ แต่เรื่องก็เงียบเหมือนกับมีการเคลียร์กันได้ หรืออาจวางเฉย หรืออาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลา เนื่องจากยังเป็นช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม อาจมีผลกระทบได้ไม่คุ้มเสีย
** แต่มาถึงวันนี้ เมื่อผลการเลือกตั้งซ่อม ที่ขอนแก่น เขต 7 ออกมาอย่างที่เห็น แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระเทือนกับพรรคเพื่อไทยอย่างหนักแน่ อย่างน้อยในด้านยุทธศาสตร์ของพรรคในพื้นที่ภาคอีสานที่มีแนวโน้มถดถอยและกระจุยกระจายออกไปเรื่อยๆ เพราะถือว่างานนี้เสียหายหนักมาก !!