xs
xsm
sm
md
lg

กรงขังแห่งความเป็นชาติ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท



เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องตามไปดูรายการ “จุดไฟในนาคร” ในอินตะระเดียกันต่อนั่นแหละทั่น เพราะมาถึงขั้นนี้ต้องเรียกว่า...ถึงจะลงทุน “ปิดอินเทอร์เน็ต” ไปสักกี่ช่อง กี่เครือข่าย ก็คง “เอาไม่อยู่” อีกต่อไปแล้ว สำหรับการประท้วง การลุกฮือ ที่คงไม่ได้อาศัยเพียงแค่ความโกรธกริ้ว ฉิวฉุน ชั่วแวบๆ ชั่วครั้ง ชั่วคราวแต่อย่างใด แต่เป็นอารมณ์ความรู้สึกลึกๆ ที่ถูกปลุก ถูกกระตุ้นให้พลุ่งพล่าน ลุกลามบานปลายอย่างเป็นระบบ ด้วยกฎหมายที่เรียกย่อๆ ว่า “CAA” หรือ “CAB” (Citizenship Amendment Act-Bill) ซึ่งแทบไม่ต่างไปจาก “ฟางเส้นสุดท้าย” สำหรับบรรดาชาวมุสลิม ที่มีจำนวนปริมาณเกือบๆ 200 ล้านคนในประเทศอินเดีย...

คือถ้าหากมันเป็นการจุดระเบิด จุดชนวน ด้วยการโพสต์ไป-โพสต์มา แชร์โน่น-แชร์นี่ โดยอาศัยประเภทข่าวปลอม ข่าวลือ หรือข่าวล่า-มาเรือ แบบไหน อย่างไร ก็แล้วแต่ การปิดอินเทอร์เน็ต ปิดการเชื่อมต่อ เชื่อมโยงของบรรดาผู้คนใน “โลกเสมือนจริง” เพื่อให้บรรยากาศใน “โลกแห่งความเป็นจริง” มันพอคลายๆ พอทุเลาเบาบางลงมามั่ง ก็อาจเป็นอะไรที่พอจะ “เวิร์ค” อยู่พอสมควรเหมือนกัน เหมือนอย่างที่อิหร่าน เขาใช้ในการรับมือกับม็อบซึ่งลุกฮือขึ้นมาในเมืองต่างๆ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่อาศัยเพียงแค่ประเด็นการขึ้นราคาน้ำมันไม่กี่บาท กี่ริอัล ไม่กี่เซนต์ มาเป็นเงื่อนไข-ข้ออ้าง แต่สำหรับอินตะระเดียแล้ว ออกจะต่างกันไปแบบคนละเรื่อง-คนละม้วน เพราะด้วยการออกกฎหมายสิทธิพลเมือง หรือการให้สัญชาติต่อพลเมืองที่เป็นชนส่วนน้อยในอินเดีย หรือกฎหมาย “CAA” หรือ “CAB” ที่ว่า ซึ่งได้กลายมาเป็นเงื่อนไขในการประท้วง การลุกฮือ คราวนี้ ถ้าว่ากันสำบัดสำนวนขององค์การระหว่างประเทศ อย่างองค์การสหประชาชาติแล้ว คงต้องใช้คำว่า “เป็นกฎหมายที่มีพื้นฐานมาจากการเลือกที่รักมักที่ชัง” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน...

พูดง่ายๆ ว่า...ด้วยความเป็น “ชาตินิยมฮินดู” และความสำเร็จในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โตได้แบบโตโยต้าอะไรประมาณนั้น จนทำให้พรรค “BJP” (Bharatiya Janata) หรือพรรค “ภารติยะ ชนตะ” ของนายกรัฐมนตรี “นเรทรา โมดี” ท่านเลย “นอนมา” กวาดชัยชนะชนิดถล่มทลาย ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เลยทำให้ท่านอาจจะลิงโลด หรือลำพองใจต่อชัยชนะเกินไปสักหน่อย การเดินหน้าประเทศอินเดีย ไปตามพื้นฐานอารมณ์ ความรู้สึกแบบ “ชาตินิยมฮินดู” มันเลยส่งผลกระทบต่อความรู้สึกลึกๆ ของบรรดาชาวมุสลิมในอินเดีย แบบชนิดยากที่สะกดกลั้นกันได้ง่ายๆ...

เฉพาะแค่ครั้งที่ท่านตัดสินใจยกเลิกบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตราที่ 370 เพื่อเปิดช่อง เปิดทางให้กับการ “เพิกถอนสถานะพิเศษการปกครองตนเอง” ของแคว้น “จัมมู-แคชเมียร์” (Jammu-Kashmir) อันเป็นดินแดนที่มีประชากรชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่ผู้ปกครองดันเป็นฮินดู และก่อให้เกิดปัญหาคาราคาซังมาตั้งแต่หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษโน่นเลย อันนี้...ก็ถือเป็นสิ่งที่น่ากลัว น่าอันตรายพอสมควรแล้ว อย่างที่นายกรัฐมนตรีปากีสถาน “นายอิมรอน ข่าน” ผู้ต้องแบกรับ “มรดกแห่งความขัดแย้ง” ในปัญหาดังกล่าวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพิ่งไปพูดไว้ในเวที “Global Refugee Forum” ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อช่วงวันอังคารที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมานี้เอง ประมาณว่า ความพยายามแปรสภาพแคว้นจัมมู-แคชเมียร์ให้กลายเป็นอาณาจักรฮินดูของนายกฯอินเดีย ไม่เพียงแต่ทำให้เกิด “วิกฤตผู้ลี้ภัย” อันเนื่องมาจากบรรดาชาวมุสลิมในพื้นที่ดังกล่าว อาจต้องอพยพหลบหนีเข้ามาในปากีสถานนับเป็นล้านๆ คนเท่านั้น แต่ยังอาจก่อให้เกิด “วิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีนิวเคลียร์ด้วยกันทั้งคู่” มันเลยเป็นอะไรที่ออกจะน่ากลัว น่าอันตราย มิใช่น้อย...

แต่เมื่อยิ่งมีการออกกฎหมาย “CAA” หรือ “CAB” ที่แสดงให้เห็นถึงความรังเกียจ เดียดฉันท์ หรือความ “เลือกที่รักมักที่ชัง” ต่อบรรดาชาวมุสลิมในอินเดีย อย่างเห็นได้โดยชัดเจน มันเลยยิ่งไม่ต่างอะไรไปจาก “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ยากจะอดทน อดกลั้นต่อไปได้ เพราะมันได้ก่อให้เกิด “คำถาม” แบบเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย คุณปู่ “มหาเธร์ โมฮัมหมัด” ท่านอดไม่ได้ที่จะต้องถามเอาไว้ในระหว่างการประชุม “Kuala Lumpur Summit-2019” ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อช่วงวันศุกร์ (20 ธ.ค.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “ในเมื่อคนอินเดียที่นับถือศาสนาต่างกัน สามารถอยู่ร่วมกันโดยแทบไม่มีปัญหาอะไรเลย มาตลอดช่วง 70 กว่าปี (หลังได้รับเอกราช) แล้วรัฐบาลอินเดียมี....ความจำเป็น...อะไร??? ที่จะต้องออกกฎหมายฉบับนี้ ที่ทำให้ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายเพราะกฎหมายดังกล่าว นับไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยคนเข้าไปแล้ว...”

ล่าสุดนั้น...เห็นว่า เด็กอายุ 8 ขวบ และผู้ประท้วงอีก 4 ราย ต้องตายไปเพราะการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ประท้วงในรัฐอุตตรประเทศ รวมๆ แล้ว...น่าจะตายไปแล้ว 17-20 ราย บาดเจ็บอีกเป็นร้อย ถูกจับเข้าคุกไม่ต่ำกว่าอีก 4,000 คน และทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงไม่จบ ยังหาข้อยุติแทบไม่ได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ ในขณะที่นายกรัฐมนตรีอินเดีย ท่านกลับหันไปให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินเดียกันแทนที่ ด้วยการออกมาปลุกปลอบใจบรรดา “นักลงทุน” เมื่อช่วงวันเสาร์ (21 ธ.ค.) ที่ผ่านมา โดยรับประกันการันตีเอาไว้ว่า เศรษฐกิจอินเดียจะได้รับการฟื้นฟูไม่ให้ตกต่ำลงไปกว่านี้ หรือจะกลับมาโตแบบโตโยต้าได้แบบเดิม ชนิดฝันหวานเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าตัวเลขจีดีพีของอินเดียจะพุ่งขึ้นไปในระดับ 5 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี ค.ศ. 2024 หรือจะโตไม่ต่ำกว่าอันดับ 3 ของเอเชีย...

แต่ความหวังที่จะโต ภายใต้ความเป็น “ชาตินิยมฮินดู” หรือ “โตกันในทางวัตถุ” โดยที่หัวจิต หัวใจ กลับไม่ได้คิดจะโตไปด้วย ยังคงถูกกักขังไว้ในกรงขังแห่งความเป็นชาติ เป็นศาสนา จนไม่อาจ “เข้าถึง-เข้าใจ” ต่อบรรดาผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ซึ่งผิดแผก แตกต่างไปจากศาสนาของตัวเอง ทั้งๆ ที่อดีตผู้นำอินเดีย และผู้นำมาซึ่งอิสรภาพและเอกราชให้กับดินแดนแห่งนี้ อย่างท่าน “มหาตมะ คานธี” ท่านเคยย้ำนักย้ำหนา เคยพูดเอาไว้ชัดเจน ประมาณว่า... “If a man has reached the heart of his own religion, he has reached the heart of the other too.” หรือ “ผู้ใดที่เข้าถึงหัวใจของศาสนาตัวเอง ผู้นั้นย่อมเข้าถึงหัวใจของศาสนาผู้อื่นได้ด้วย”...

อันนี้นี่แหละ...ที่อาจหยิบเอามาเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับผู้คนในทุกชาติ ทุกภาษา และทุกๆ ศาสนาได้เป็นอย่างดี แม้แต่ในบ้านเราทุกวันนี้ก็เถอะ ที่กำลังถูก “เสี้ยม” ถูกยุแยงตะแคงรั่ว โดยอาศัย “โลกเสมือนจริง” เป็นเครื่องมือในการปล่อยข่าวปลอม ข่าวลือ เพื่อให้เกิดความรังเกียจเดียดฉันท์กันในทางศาสนา เกิดชาตินิยม พุทธนิยม จนอาจก่อให้เกิด “ปัญหา” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ยังไงๆ...คงต้องหันมาดูอินตะระเดีย เอาไว้เป็นตัวอย่าง ก่อนที่แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง มันอาจลุกลามบานปลายกลายเป็นเรื่อง เป็นราว หรือเป็น “ปัญหา” ขึ้นมาจนได้...


กำลังโหลดความคิดเห็น