xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปไตยอันสับสนและวุ่นวาย

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


เลือกตั้งอังกฤษ,บอริส จอห์นสัน,เบร็กซิต,อินเดีย,เลือกตั้งอินเดีย
ผ่านพ้นไปแล้ว...สำหรับการเลือกตั้งอังกฤษ เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปแล้วว่า ถือเป็นอันเรียบร้อยโรงเรียนเบร็กซิต และแป้งเด็กบอริส จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ไปตามแบบฉบับผู้ดี หรือผู้ไม่ดี ก็ตามแต่ เมื่อพรรคคอนเซอร์เวทีฟของนายกรัฐมนตรี “บอริส จอห์นสัน” สามารถกวาดเก้าอี้ได้แบบถล่มทลาย คือได้เพิ่มขึ้นอีก 40 เกือบ 50 ที่นั่ง มีเสียง “พ้นน้ำ” ไปถึง 365 เสียง จากจำนวนทั้งหมด 650 เสียงในสภาฯ...

แต่การจะ “เบร็กซิต” หรือการแยกอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป ให้รู้แล้ว รู้แรด กันไปซะที จะสามารถเป็นไปได้ภายในวันที่ 31 มกราคมปีหน้า หรือจะต้องยืดไป-ยืดมา ไปถึงเดือนธันวาคม ปลายปีหน้ากันเลยหรือไม่ อย่างไร? นั้น คงต้องคอยติดตามกันต่อ เพราะมันคงไม่ถึงกับง่ายดายสักเท่าไหร่ แม้ผลการเลือกตั้งจะออกมาในรูปนี้ เรียกว่า...แค่นับจำนวนเก้าอี้ยังไม่ทันแล้วเสร็จดี บรรดาชาวอังกฤษประเภทที่ “ต่อต้านเบร็กซิต” (anti-Brexit) ก็ออกมาจับกลุ่มประท้วง เดินขบวนยื้อไป-ยื้อมากับตำรวจ ณ ใจกลางกรุงลอนดอน แถมยังส่งเสียงกู่ก้องร้องตะโกนว่า “บอริส จอห์นสัน...ไม่ใช่นายกฯ ของเรา!!!” ซะอีกด้วยต่างหาก...

แถมพรรคการเมืองอันดับ 3 อย่างพรรค “Scottish National Party” ภายใต้การนำของ “นางNicola Sturgeon” ที่ได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นกอบ เป็นกำ หรือมากกว่าครั้งเดิมถึง 13 ที่นั่ง ก็ถือเอาชัยชนะครั้งนี้เป็นข้อพิสูจน์ เป็นเครื่องยืนยันถึงเจตนารมณ์และความปรารถนาต้องการของบรรดาชาวสกอตที่อยากจะ “แยกตัวออกจากอังกฤษ” ถึงขั้นคิดตระเตรียมจัดให้มีการ “ลงประชามติครั้งที่ 2” ในอีกไม่นานนับจากนี้ คือขณะที่อังกฤษคิดจะแยกตัวจากยุโรป สกอตก็ดันคิดจะแยกตัวจากอังกฤษไปอีกซะนี่ ดังนั้น...การเบร็กซิต-ไม่เบร็กซิต โนดีล-ไม่โนดีล ยังคงไม่อาจสรุปด้วยผลการเลือกตั้งล้วนๆ เพราะยังมีรายละเอียด ข้อเท็จจริงอีกเยอะแยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความเป็นชาติใคร-ชาติมัน” ที่ดูจะกลายเป็นปัญหาและอุปสรรคของความเป็นประชาธิปไตยในยุคโลกาภิวัตน์ ยิ่งเข้าไปทุกที...

ไม่ต่างไปจากการเลือกตั้งในอินตะระเดีย เมื่อช่วงกลางปีนี้ หรือเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั่นแหละทั่น...แม้ว่าพรรครัฐบาลอย่างพรรค “ภารติยะ ชนตะ” (Bhartiya Janata) ของนายกรัฐมนตรี “นเรนทรา โมดี” จะได้รับเลือกตั้งอย่างชนิดถล่มทลาย กวาดชัยชนะมาเป็นสมัยที่สอง คว้าเก้าอี้มาได้ถึง 292 เก้าอี้ จากจำนวนที่นั่งทั้งหมด 542 ที่นั่ง ทิ้งห่างพรรคคู่แข่งอย่างพรรคคองเกรสที่ได้เก้าอี้มาแค่ 49 ที่นั่งชนิดไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง แต่ด้วยเหตุเพราะ “ความเป็นชาติใคร-ชาติมัน” หรือความเป็น “ชาตินิยมฮินดู” ที่ออกจะรังเกียจเดียดฉันท์ต่อบรรดาชาวมุสลิม ที่ยื้อประเทศ แย่งประเทศ กันมาแต่แรก หรือตั้งแต่ต่างได้รับเอกราชจากอังกฤษ จนต้องแยกออกเป็นอินเดีย-ปากีสถานตะวันตก-ตะวันออก ซึ่งกลายมาเป็นบังกลาเทศในภายหลัง ชัยชนะแห่งความเป็น “ชาตินิยมฮินดู” ของพรรคภารติยะ ชนตะ จึงถูกแปรสภาพให้กลายเป็น “ร่างแก้ไขกฎหมายสิทธิพลเมือง” (Citizenship Amendment Bill-CAB) ผ่านสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา และในวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมานี่เอง ประธานาธิบดีอินเดีย “นายRam Nath Kovind” ก็ได้ลงนามให้ประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...

ส่งผลให้เกิดการ “ลุกฮือ” ขึ้นประท้วง...ของบรรดาชาวมุสลิมในอินเดีย โดยเฉพาะแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถบรัฐอัสสัม รัฐตรีปุระ ชนิด “จุดไฟในนาคร” กันจนมอดไหม้ไปเป็นแถบๆ เนื่องด้วยเนื้อหาสาระของกฎหมาย “CAB” ที่ว่านี้ ขณะพร้อมที่จะให้ “สิทธิความเป็นพลเมืองอินเดีย” ต่อบรรดาชนกลุ่มน้อยที่อพยพมาจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างปากีสถาน อัฟกานิสถาน หรือบังกลาเทศ แต่ดันกลับให้แต่เฉพาะผู้นับถือศาสนา 1. ฮินดู 2. ซิกข์ 3. พุทธ 4. เชน 5. ปาร์ซี และ 6. คริสต์ เท่านั้น ส่วนบรรดาผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามทั้งหลาย กลับยกเว้นไม่ให้เอาดื้อๆ!!! แสดงออกถึงลักษณะอาการชนิดไม่ต่างไปจากบรรดาชาวเยอรมันในยุคนาซี ที่เกิดความรังเกียจเดียดฉันท์ต่อบรรดา “ชาวยิว” ทั้งหลาย นั่นแล...

“ความเป็นชาติใคร-ชาติมัน” หรือความเป็นชาตินิยมฮินดูในลักษณะเช่นนี้...เลยทำให้ความเป็นประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือทำให้การเลือกตั้งที่มีจำนวนประชากรผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งจำนวนถึง 900 ล้านคน จึงไม่ได้นำมาซึ่งเสถียรภาพความมั่นคง หรือความสงบเรียบร้อยใดๆ ได้เลย ตรงกันข้าม...กลับกลายเป็นการ “จุดไฟในนาคร” ขึ้นมาซะแทนที่ เกิดการประท้วงลุกลามไปในรัฐต่างๆ โดยเฉพาะรัฐตรีปุระ ที่บรรดาผู้ประท้วงพยายามบุกเข้าไปยึดสภาเมือง จนตำรวจอินเดียต้องงัดแก๊สน้ำตา กระสุนยาง กระสุนจริง ออกมายิงใส่ฝูงชน ชนิดชุลมุนวุ่นวายกันไปเป็นแถบๆ ถึงขั้นที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น “นายชินโสะ อาเบะ” ซึ่งมีกำหนดการจะเดินทางไปเยือนอินเดียแถวๆ รัฐอัสสัม และตรีปุระนี่แหละ ในช่วงวันที่ 14-17 ธันวาคม หนีไม่พ้นต้องประกาศเลื่อนการเดินทาง อย่างไม่มีกำหนด...

แม้ว่าภายใต้ความเป็น “ชาตินิยมฮินดู” ของนายกฯ “นเรนทรา โมดี” หรือของพรรค “ภารติยะ ชนตะ” นั้น...จะนำเอาความรุ่งเรืองก้าวหน้า ก้าวไกล มาสู่อินตะระเดีย ตลอดช่วงของการได้เป็นรัฐบาลมา 2 สมัย โดยเฉพาะในเรื่องความมั่งคั่งร่ำรวย ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ชนิดที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจญี่ปุ่น หรือ “JCER” เพิ่งนำเสนอรายงานการคาดการณ์เศรษฐกิจในอีก 10 ปีข้างหน้า ว่าภายในปี ค.ศ. 2030 เป็นต้นไป “GDP” ของประเทศอินเดียที่เคยอยู่ในระดับประมาณ 2.72 ล้านล้านดอลลาร์ หรืออยู่ในอันดับ 7 ของโลกเมื่อช่วงปี ค.ศ. 2018 จะเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านล้านดอลลาร์ แซงหน้าประเทศญี่ปุ่น จนอาจกลายเป็นประเทศที่มี “GDP” โตเป็นอันดับ 3 ของโลก หรืออาจโตถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี ค.ศ. 2035 แต่บรรดาสิ่งเหล่านี้กลับดูจะไม่ได้ช่วยนำมาซึ่งเสถียรภาพความมั่นคง หรือ “ความสงบ-เรียบร้อย” แต่อย่างใด...

เฉพาะแค่ข่าวคราวเรื่อง “การข่มขืน” ชนิดแทบไม่เว้นแต่ละวัน แถมข่มขืนแล้วฆ่า ข่มขืนแล้วเผากันซะอีกด้วย ก็ถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความสับสนชุลมุนวุ่นวายในสังคมอินเดียหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ต่างไปจากสังคมอินเดียในยุคอดีต ที่เคยเป็นศูนย์รวม เป็นบ่อเกิดของ “ศาสนา” แต่ละศาสนา โดยแต่ละศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันโดยสันติได้ไม่ยาก แม้จะมีการปะทะขัดแย้งกันในบางครั้ง บางครา แต่ด้วยเหตุเพราะ “ธรรมะ” หรือ “จิตวิญญาณ” ในแต่ละศาสนา ยังพอช่วยให้เกิดความอดทน อดกลั้นระหว่างกันและกันได้พอประมาณ แต่ภายใต้ความเป็นประชาธิปไตย ที่โน้มเอียงไปสู่ความเป็น “ชาตินิยมฮินดู” ไม่ว่าในแง่ศาสนา หรือในแง่ความเป็นชาติก็ตาม กลับทำให้ความ “เจริญเติบโตทางวัตถุ” ของอินเดียยุคนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้นำมาซึ่งความสุข ความสงบ อย่างเท่าที่เคยเป็นมาในอดีต แต่อาจกลายเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดการปะทะ ความขัดแย้ง และความระส่ำระสายภายในสังคมอินเดียหนักขึ้นไปอีก...

ดังนั้น...ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยอังกฤษ ประชาธิปไตยอินเดีย ฯลฯ หรือประชาธิปไตย ณ ที่ไหนๆ ก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้นไปจาก “ทฤษฎีประชาธิปไตยฉบับพุทธทาสภิกขุ” นั่นแหละ ที่ได้สรุปเอาไว้แบบสั้นๆ ง่ายๆ ประมาณว่า “ประชาธิปไตยที่ว่าของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชนนั้น ใช้ได้ก็แต่เฉพาะ...ประชาชนที่มีธรรม...เท่านั้น เพราะถ้าประชาชนเกิดไม่มีธรรมขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็ต้องกลายเป็น...ประชาธิป-ตาย เท่านั้นเอง...”


กำลังโหลดความคิดเห็น