xs
xsm
sm
md
lg

อนาคตใหม่มีวันนี้ เพราะธนาธรคนเดียว!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

สมัยก่อนเคยมีวลี “มีวันนี้เพราะพี่ให้”อันโด่งดัง แต่มาวันนี้กำลังมีวลีใหม่ที่ซ้อนทับขึ้นมาสำหรับการกล่าวถึงพรรคอนาคตใหม่ ว่าที่ “มีวันนี้เป็นเพราะธนาธรคนเดียว”
ก็ต้องยอมรับแบบนั้นจริงๆว่าน่าจะใช่เลย เพราะสถานการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ ที่เริ่มสู่ภาวะวิกฤตอยู่ในเวลานี้ทุกอย่างล้วนมีต้นเหตุมาจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคเพียงเดียวเท่านั้น หรือหากให้กล่าวโทษเพิ่มเติม ก็ต้องโทษบรรดานักกฎหมายที่อยู่ข้างกายของเขาที่ไร้ประสบการณ์ แต่จะว่าไปแล้วกรณีหลังน่าจะเป็นเพียงเรื่องรอง หรือปลายเหตุเท่านั้น
แม้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อเกิดปัญหาภายในพรรคที่มีอดีตสมาชิกพรรคบางคนมีการแฉถึงการบริหารภายในที่มีการอ้างว่า ทุกอย่างในวันนี้ของพรรคล้วนเป็นเพราะความนิยมในตัวของ นายธนาธร เพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สมควรมาเรียกร้องต่อรอง
แต่อีกด้านหนึ่ง ในวันนี้ที่ต้องชี้หน้าไปที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพียงคนเดียว เพราะหากสืบสาวราวเรื่องกันไปแล้วจะพบว่าล้วนมาจากการกระทำและคำพูดที่ออกมาจากตัวเขาทั้งสิ้น หากจะเริ่มจากคดีแรกก่อนที่เริ่มทำให้เขาและพรรคต้องตกที่นั่งลำบากนั่นคือ คดีการถือหุ้นสื่อ จากกรณีหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่ยังไม่ได้โอนหุ้นหลังจากวันรับสมัครรับเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ทำให้เขาต้องขาดคุณสมบัติ และในที่สุดก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส.
**แม้ว่าในกรณีดังกล่าวพยายามเข้าใจว่าเกิดจากความ “หลงลืม”หรือความไม่รอบคอบของตัวเขาเอง และที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีเดียวกันที่ก่อนหน้านี้เขาได้โอนหุ้น หรือขายหุ้นที่เคยถืออยู่ในบริษัทสื่อหลักไปแล้ว ยังเหลือเพียงหุ้นของ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด นี่แหละที่ยังไม่มีการถ่ายโอน แม้ว่าที่ผ่านมาจะพยายามอ้างหลักฐานในเรื่องวัน เวลา การใช้หลักฐานใบสั่งของตำรวจจากการที่ทำผิดกฎหมายจราจรสารพัด แต่ไม่ว่าจะอ้างหลักฐานอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่หักล้าง“หลักฐานทางราชการ”ที่ปรากฏตามวันเวลาที่ยึดถือในแบบที่ปฏิเสธไม่ได้
และจะว่าไปแล้วกรณีถือหุ้นสื่อคงไม่มีใครรู้ เรื่องราวคงเงียบหายไปตามสายลม หากไม่มีสำนักข่าวอิศรา ที่เชี่ยวชาญในการทำข่าวในเชิงสอบสวนสืบสวนไปขุดคุ้ยเจอหลักฐานความไม่ชอบมาพากลดังกล่าวออกมา และนำไปสู่การร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส. และต้องรอลุ้นตามมาอีกว่าจะต้องเจอ“ดาบสอง”ที่เป็นความผิดตาม มาตรา 151 ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกฎหมายเลือกตั้ง ที่ว่า เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติหรือมีคุณสมบัติต้องห้ามแต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็น โทษอาญา แต่ยังต้องลุ้นกันต่อไป
**และกรณีล่าสุดที่กำลังจะสร้างความระส่ำระสายซ้ำเติมเข้ามาอีกก็คือ พรรคอนาคตใหม่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีมติเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค จากกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปล่อยกู้จำนวน 191 ล้านบาทให้กับพรรค ซึ่งระบุว่า เป็นการทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองที่เกี่ยวกับการกู้เงิน และการรับบริจาคเงินเกินคนละ 10 ล้านบาทต่อปี
แม้ว่าที่ผ่านมาทางฝ่ายมือกฎหมายชั้นเอก อย่าง "นายปิยบุตร แสงกนกกุล" เลขาธิการพรรค จะโต้แย้งว่าในกฎหมายพรรคการเมืองไม่ได้ห้ามเอาไว้ดังที่ไม่ปรากฏในข้อห้ามในการหารายได้ 7 ข้อ ดังนั้น จึงสรุปว่าเมื่อไม่ได้ห้ามเอาไว้ นั่นก็หมายความว่าทำได้อะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี ในที่สุดแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะออกมาอย่างไร แต่หากพิจารณาจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 60 คงต้องการให้พรรคการเมืองปราศจากการครอบงำ หรือชี้นำจากเจ้าของหรือนายทุนพรรคจึงได้กำหนดข้อห้ามในเรื่องจำนวนเงินรับบริจาคไม่ให้เกินคนละ 10 ล้านบาทต่อปี หรือมีการระบุถึงการหารายได้ของพรรคการเมืองที่มีจำนวน 7 ข้อดังกล่าว โดยไม่ได้ระบุถึงการกู้เงินนอกเหนือจากกรณีที่เห็นว่า พรรคการเมืองไม่ใช่บริษัท ที่หวังผลกำไร การกู้ยืมเงินและต้องจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยกับบุคคลใด มันก็อาจถูกครอบงำชี้นำจากนายทุน
**แต่ประเด็นที่เกิดขึ้นก็คือ ทุกเรื่องล้วนมีสาเหตุหรือต้นตอจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งกรณีนี้ก็เหมือนกัน เป็นเพราะเขาไปเปิดเผยเรื่องนี้เองระหว่างไปการไปพูดที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ว่าเขาได้ปล่อยกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่จำนวนกว่าร้อยล้านบาท (บอกว่าจำตัวเลขแน่นอนไม่ได้) อาจเป็นเพราะว่าต้องการ “โชว์ออฟ”ให้เห็นว่าต้องการโชว์การทำพรรคแบบใหม่ที่เปิดเผย
จากนั้นเมื่อคำพูดมัดตัวเองในระหว่างการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ก็ต้องแสดงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ระบุถึงเรื่องเงินกู้จำนวนนี้ในบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินด้วย แต่อีกนัยหนึ่งมันก็เหมือนกับเป็นการยอมรับความจริงว่า มีเรื่องแบบนี้ โดยที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ เนื่องจากมีการระบุชัดในเอกสารที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.อยู่แล้ว
อีกหลายเรื่องที่เป็นทำนอง “ตายเพราะปาก”หรือความไม่รอบคอบ ที่ไม่ต่างจาก“ไร้เดียงสา”รวมไปถึงการที่ไม่รู้จักบทบาทของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำ“บลายด์ทรัสต์” ที่อ้างว่าได้ถ่ายโอนหุ้นให้กับกองทุนเพื่อบริหารจัดการแทนเขาระหว่างที่อยู่ในการเมืองเพื่อความโปร่งใส ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน และยังอ้างว่าเขาทำแบบนี้เป็นตัวอย่างของนักการเมืองรายแรกของไทย แต่เมื่อมีการค้นพบความจริงว่า มีนักการเมืองทำมาก่อน และกรณีของเขาก็ไม่อาจพิสูจน์ได้จริงว่า มีการโอนหุ้นอะไรไปบ้าง และที่สำคัญเขาไม่ได้โอนหุ้นจริง มาอ้างภายหลังว่าเป็นเพราะเขาถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาพลาดอย่างแรงหรือ ที่เรียกว่า“ตายเพราะปาก”ก็เห็นได้จากคำพูดที่ไปประจาน หรือเรียกว่า”เหยียบ”นายทักษิณ ชินวัตร กลางศาลรัฐธรรมนูญ ในระหว่างไต่สวนพยานในคดีโอนหุ้นสื่อก่อนหน้านี้โดยมีการต่อรองว่าหากมีการวินิจฉัยที่เป็นคุณกับเขา“จะไม่ทำการเมืองแบบทักษิณในลักษณะที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน”เป็นอันขาด ซึ่งความหมายก็ไม่ต่างจากการ“เหยียบคนอื่นให้จมดิน”เพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ ซึ่งจากคำพูดดังกล่าวได้สร้างความโกรธแค้นให้กับบรรดาสาวกของ นายทักษิณ จำนวนมาก
**อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้จะไม่ได้เห็นการเคลื่อนไหวสนับสนุนจากมวลชนของพรรคเพื่อไทยออกมาแสดงความเห็นใจเลย เพราะอีกด้านหนึ่งจะว่าไปแล้วการเติบใหญ่ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ นั่นก็เท่ากับการเบียดแทรก หรือข่ม นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยในวันข้างหน้านั่นเอง !!


กำลังโหลดความคิดเห็น