จะเรียกว่างวดเข้ามาทุกเรื่องทุกคดีสำหรับพรรคอนาคตใหม่ รวมไปถึงบรรดาแกนนำพรรคคนสำคัญ โดยเฉพาะ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เวลานี้ เริ่มทยอยตัดสินชี้ขาดกันแล้ว อย่างล่าสุดคดีปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคจำนวน 191 ล้านบาท ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้มีการพิจารณาลงมติออกมาแล้ว โดยให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรมนูญ เพื่อพิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่
แต่ก็ยังถือว่ามีเส้นทางข้างหน้าอีกพักหนึ่ง เพราะขั้นตอนสุดท้ายอยู่ที่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะออกมาอย่างไร
แม้ขั้นตอนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เข้าสู่การพิจารณาและวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว อาจจะต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ แต่หากผลในชั้นของ กกต.ออกมาเช่นนี้ มันก็ถือว่าเข้าขั้น “โคม่า” และหากบอกว่าโอกาสรอดไม่มี ก็ถือว่ากล่าวเกินไป แต่บอกว่า “ริบหรี่” นั่นแหละใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด
เพราะที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 60 ไม่ให้กู้ยืมเงินมาดำเนินกิจกรรมของพรรคได้ ขณะเดียวกัน มาตรา 66 ก็กำหนดให้นิติบุคคลสามารถบริจาคเงินให้พรรคได้ไม่เกินรายละ 10 ล้านบาทต่อปี และเงินกู้ดังกล่าว เข้าลักษณะเงินบริจาค ที่มาตรา 72 กำหนดเป็นบทลงโทษเอาไว้
** นั่นเป็นเพียงคดีล่าสุดที่พรรคอนาคตใหม่ และกรรมการบริหารพรรคกำลังเผชิญ โดยเฉพาะหากโฟกัสไปที่ แกนนำสำคัญอย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์รุมเร้า แต่ขณะเดียวกันจะไปโทษใครก็ไม่ได้ เพราะทุกเรื่อง ทุกคดีที่เจออยู่ในเวลานี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะ “ทำตัวเอง”หรือ “ตายเพราะปาก”ทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้ นายธนาธร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส. จากคดีถือหุ้นสื่อ และกำลังลุ้นว่าจะมีคดีต่อเนื่อง จากการทำผิดกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 151 ที่ระบุว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่สิทธิรับสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังลงสมัครต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี นั่นคือดาบสองที่กำลังจะตามมา
แต่เอาเป็นว่าคดีเงินกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่กำลังเป็น “ข่าวร้าย” ทั้งกับพรรค และตัวผู้บริหารพรรค ซึ่งอย่างที่บอกว่ายังมีเส้นทางที่ต้องต่อสู้กันในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีข่าวร้ายจาก สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาแล้ว มันก็ต้องถือว่า น่าหวาดเสียว และโอกาสรอดค่อนข้างริบหรี่ นั่นแหละ
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีเรื่องใหญ่ที่พวกเขาต้องเผชิญกันต่อไปอีก นั่นคือคดีถูกร้องว่ามีพฤติกรรม“ล้มล้างการปกครอง”ที่เป็นคดีอาญา เสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคซ้ำเข้าไปอีก
**เพียงแค่สองสามคดีที่ว่านี้ก็ถือว่าอ่วม หมดอนาคตทางการเมืองไปแล้ว !!
อย่างไรก็ดี หากจะกล่าวว่า สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะ “ความไร้เดียงสา”ความไม่รอบคอบ ไม่รู้จักบทบาทของตัวเอง ไม่คำนึงว่า“คำพูดเป็นนาย”พยานหลักฐานในยุคโซเชียลฯ มันหาได้ง่าย อาจจะหลงลืมไปว่า บทบาทของตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่เป็นนักกิจกรรมเหมือนเช่นในอดีต ที่สามารถพูดจาหรือให้ความเห็นโดยที่ไม่ถูกตรวจสอบเข้มงวด แต่ในวันนี้เมื่อก้าวมาสู่สนามการเมืองที่เป็นบุคคลสาธาณะ ทุกคำพูดและการเคลื่อนไหวจะถูกตรวจสอบ
กรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดที่ถูก กกต. เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ จากกรณีปล่อยกู้เงิน และก่อนหน้านี้จากกรณีถือหุ้นสื่อ รวมไปถึงคดีที่ถูกร้องว่ากระทำการล้มล้างการปกครอง ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น และต่อเนื่องจากหลักฐานในอดีต ไม่ได้มีใครกลั่นแกล้งใส่ร้ายป้ายสี เพียงแต่ว่าอาจจะ “เข้าทาง”ในด้านกฎหมายจนนำไปสู้การร้องต่อศาลในที่สุด
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งในมุมของพรรคอนาคตใหม่ และบรรดาแกนนำพรรคคนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล รวมทั้ง พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค ที่ก่อนหน้านี้เหมือนกับรู้ชะตากรรม แต่สิ่งที่พยายามเคลื่อนไหวชี้นำตอกย้ำให้เห็นถูกกลั่นแกล้งจากฝ่าย“ผู้มีอำนาจ” หากมองในมุมนี้เหมือนกับการสร้างกระแสป่วนข้างนอกทุกทาง สร้างความเคลื่อนไหวต่อต้านทั้งเรื่องการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือแม้กระทั่งการสร้างกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง”ก็ถูกโยงมาเป็นเรื่องเดียวกัน
นาทีนี้ สำหรับพรรคอนาคตใหม่ มันก็เหมือนกับว่า “โคม่า”กันทั้งพรรค ที่สำคัญเป็นการ “สู้อย่างโดดเดี่ยว”ไม่มีแนวร่วม โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย และมวลชนล้วนแล้วแต่วางเฉย หรือการแสดงความเห็นก็เป็นแบบเหมือนกับ “หวังดีประสงค์ร้าย”เพราะในความเป็นจริงการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มันก็คือคู่แข่งในทางยาวนั่นเอง
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจหากนับจากนี้จะได้เห็นการเคลื่อนไหวในแบบเกมเสี่ยงบนท้องถนนมากขึ้นแบบถี่ยิบ !!
แต่ก็ยังถือว่ามีเส้นทางข้างหน้าอีกพักหนึ่ง เพราะขั้นตอนสุดท้ายอยู่ที่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะออกมาอย่างไร
แม้ขั้นตอนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เข้าสู่การพิจารณาและวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว อาจจะต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ แต่หากผลในชั้นของ กกต.ออกมาเช่นนี้ มันก็ถือว่าเข้าขั้น “โคม่า” และหากบอกว่าโอกาสรอดไม่มี ก็ถือว่ากล่าวเกินไป แต่บอกว่า “ริบหรี่” นั่นแหละใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด
เพราะที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 60 ไม่ให้กู้ยืมเงินมาดำเนินกิจกรรมของพรรคได้ ขณะเดียวกัน มาตรา 66 ก็กำหนดให้นิติบุคคลสามารถบริจาคเงินให้พรรคได้ไม่เกินรายละ 10 ล้านบาทต่อปี และเงินกู้ดังกล่าว เข้าลักษณะเงินบริจาค ที่มาตรา 72 กำหนดเป็นบทลงโทษเอาไว้
** นั่นเป็นเพียงคดีล่าสุดที่พรรคอนาคตใหม่ และกรรมการบริหารพรรคกำลังเผชิญ โดยเฉพาะหากโฟกัสไปที่ แกนนำสำคัญอย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์รุมเร้า แต่ขณะเดียวกันจะไปโทษใครก็ไม่ได้ เพราะทุกเรื่อง ทุกคดีที่เจออยู่ในเวลานี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะ “ทำตัวเอง”หรือ “ตายเพราะปาก”ทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้ นายธนาธร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส. จากคดีถือหุ้นสื่อ และกำลังลุ้นว่าจะมีคดีต่อเนื่อง จากการทำผิดกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 151 ที่ระบุว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่สิทธิรับสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังลงสมัครต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี นั่นคือดาบสองที่กำลังจะตามมา
แต่เอาเป็นว่าคดีเงินกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่กำลังเป็น “ข่าวร้าย” ทั้งกับพรรค และตัวผู้บริหารพรรค ซึ่งอย่างที่บอกว่ายังมีเส้นทางที่ต้องต่อสู้กันในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีข่าวร้ายจาก สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาแล้ว มันก็ต้องถือว่า น่าหวาดเสียว และโอกาสรอดค่อนข้างริบหรี่ นั่นแหละ
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีเรื่องใหญ่ที่พวกเขาต้องเผชิญกันต่อไปอีก นั่นคือคดีถูกร้องว่ามีพฤติกรรม“ล้มล้างการปกครอง”ที่เป็นคดีอาญา เสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคซ้ำเข้าไปอีก
**เพียงแค่สองสามคดีที่ว่านี้ก็ถือว่าอ่วม หมดอนาคตทางการเมืองไปแล้ว !!
อย่างไรก็ดี หากจะกล่าวว่า สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะ “ความไร้เดียงสา”ความไม่รอบคอบ ไม่รู้จักบทบาทของตัวเอง ไม่คำนึงว่า“คำพูดเป็นนาย”พยานหลักฐานในยุคโซเชียลฯ มันหาได้ง่าย อาจจะหลงลืมไปว่า บทบาทของตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่เป็นนักกิจกรรมเหมือนเช่นในอดีต ที่สามารถพูดจาหรือให้ความเห็นโดยที่ไม่ถูกตรวจสอบเข้มงวด แต่ในวันนี้เมื่อก้าวมาสู่สนามการเมืองที่เป็นบุคคลสาธาณะ ทุกคำพูดและการเคลื่อนไหวจะถูกตรวจสอบ
กรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดที่ถูก กกต. เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ จากกรณีปล่อยกู้เงิน และก่อนหน้านี้จากกรณีถือหุ้นสื่อ รวมไปถึงคดีที่ถูกร้องว่ากระทำการล้มล้างการปกครอง ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น และต่อเนื่องจากหลักฐานในอดีต ไม่ได้มีใครกลั่นแกล้งใส่ร้ายป้ายสี เพียงแต่ว่าอาจจะ “เข้าทาง”ในด้านกฎหมายจนนำไปสู้การร้องต่อศาลในที่สุด
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งในมุมของพรรคอนาคตใหม่ และบรรดาแกนนำพรรคคนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล รวมทั้ง พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค ที่ก่อนหน้านี้เหมือนกับรู้ชะตากรรม แต่สิ่งที่พยายามเคลื่อนไหวชี้นำตอกย้ำให้เห็นถูกกลั่นแกล้งจากฝ่าย“ผู้มีอำนาจ” หากมองในมุมนี้เหมือนกับการสร้างกระแสป่วนข้างนอกทุกทาง สร้างความเคลื่อนไหวต่อต้านทั้งเรื่องการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือแม้กระทั่งการสร้างกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง”ก็ถูกโยงมาเป็นเรื่องเดียวกัน
นาทีนี้ สำหรับพรรคอนาคตใหม่ มันก็เหมือนกับว่า “โคม่า”กันทั้งพรรค ที่สำคัญเป็นการ “สู้อย่างโดดเดี่ยว”ไม่มีแนวร่วม โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย และมวลชนล้วนแล้วแต่วางเฉย หรือการแสดงความเห็นก็เป็นแบบเหมือนกับ “หวังดีประสงค์ร้าย”เพราะในความเป็นจริงการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มันก็คือคู่แข่งในทางยาวนั่นเอง
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจหากนับจากนี้จะได้เห็นการเคลื่อนไหวในแบบเกมเสี่ยงบนท้องถนนมากขึ้นแบบถี่ยิบ !!