xs
xsm
sm
md
lg

อนาคตใหม่มีวันนี้เพราะ “ธนาธร” คนเดียว !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ทักษิณ ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา




สมัยก่อนเคยมีวลี “มีวันนี้เพราะพี่ให้” อันโด่งดัง แต่มาวันนี้กำลังมีวลีใหม่ที่ซ้อนทับขึ้นมาสำหรับการกล่าวถึงพรรคอนาคตใหม่ ว่าที่ “มีวันนี้เป็นเพราะ ธนาธร คนเดียว”

ก็ต้องยอมรับแบบนั้นจริงๆ ว่า น่าจะใช่เลย เพราะสถานการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ที่เริ่มสู่ภาวะวิกฤตอยู่ในเวลานี้ทุกอย่างล้วนมีต้นเหตุมาจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคเพียงเดียวเท่านั้น หรือหากให้กล่าวโทษเพิ่มเติมก็ต้องโทษบรรดานักกฎหมายที่อยู่ข้างกายของเขาที่ไร้ประสบการณ์ แต่จะว่าไปแล้วกรณีหลังน่าจะเป็นเพียงเรื่องรองหรือปลายเหตุเท่านั้น

แม้ว่าก่อนหน้านี้ เมื่อเกิดปัญหาภายในพรรคที่มีอดีตสมาชิกพรรคบางคนมีการแฉถึงการบริหารภายในที่มีการอ้างว่าทุกอย่างในวันนี้ของพรรคล้วนเป็นเพราะความนิยมในตัวของ นายธนาธร เพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สมควรมาเรียกร้องต่อรอง

แต่อีกด้านหนึ่งในวันนี้ที่ต้องชี้หน้าไปที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพียงคนเดียว เพราะหากสืบสาวราวเรื่องกันไปแล้วจะพบว่าล้วนมาจากการกระทำและคำพูดที่ออกมาจากตัวเขาทั้งสิ้น หากจะเริ่มจากคดีแรกก่อนที่เริ่มทำให้เขาและพรรคต้องตกที่นั่งลำบาก นั่นคือ คดีการถือหุ้นสื่อ จากกรณีหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่ยังไม่ได้โอนหุ้นหลังจากวันรับสมัครรับเลือกตั้งผ่านไปแล้วทำให้เขาต้องขาดคุณสมบัติ และในที่สุดก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส.

แม้ว่าในกรณีดังกล่าวพยายามเข้าใจว่าเกิดจากความ “หลงลืม” หรือความไม่รอบคอบของตัวเขาเอง และที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีเดียวกันที่ก่อนหน้านี้เขาได้โอนหุ้นหรือขายหุ้นที่เคยถืออยู่ในบริษัทสื่อหลักไปแล้ว ยังเหลือเพียงหุ้นของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด นี่แหละที่ยังไม่มีการถ่ายโอน แม้ว่าที่ผ่านมาจะพยายามอ้างหลักฐานในเรื่องวันเวลา การใช้หลักฐานใบสั่งของตำรวจจากการที่ทำผิดกฎหมายจราจรสารพัด แต่ไม่ว่าจะอ้างหลักฐาน อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่หักล้าง “หลักฐานทางราชการ” ที่ปรากฏตามวันเวลาที่ยึดถือในแบบที่ปฏิเสธไม่ได้

และจะว่าไปแล้วกรณีถือหุ้นสื่อคงไม่มีใครรู้ เรื่องราวคงเงียบหายไปตามสายลม หากไม่มีสำนักข่าวอิศรา ที่เชี่ยวชาญในการทำข่าวในเชิงสอบสวนสืบสวนไปขุดคุ้ยเจอหลักฐานความไม่ชอบมาพากลดังกล่าวออกมาและนำไปสู่การร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนำไปสูงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส. และต้องรอลุ้นตามมาอีกว่าจะต้องเจอ “ดาบสอง” ที่เป็นความผิดตามมาตรา 151 ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกฎหมายเลือกตั้ง ที่ว่าเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติหรือมีคุณสมบัติต้องห้ามแต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นโทษอาญา แต่ยังต้องลุ้นกันต่อไป

และกรณีล่าสุดที่กำลังจะสร้างความระส่ำระสายซ้ำเติมเข้ามาอีก ก็คือ พรรคอนาคตใหม่ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคจากกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปล่อยกู้จำนวน 191 ล้านบาท ให้กับพรรค ซึ่งระบุว่า เป็นการทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองที่เกี่ยวกับการกู้เงิน และการรับบริจาคเงินเกินคนละ 10 ล้านบาทต่อปี

แม้ว่าที่ผ่านมาทางฝ่ายมือกฎหมายชั้นเอก อย่าง นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคจะโต้แย้งว่า ในกฎหมายพรรคการเมืองไม่ได้ห้ามเอาไว้ดังที่ไม่ปรากฏในข้อห้ามในการหารายได้ 7 ข้อ ดังนั้น จึงสรุปว่าเมื่อไม่ได้ห้ามเอาไว้ นั่นก็หมายความว่าทำได้อะไรประมาณนั้น

อย่างไรก็ดี ในที่สุดแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะออกมาอย่างไร แต่หากพิจารณาจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 60 คงต้องการให้พรรคการเมืองปราศจากการครอบงำ หรือชี้นำจากเจ้าของหรือนายทุนพรรคจึงได้กำหนดข้อห้ามในเรื่องจำนวนเงินรับบริจาคไม่ให้เกินคนละ 10 ล้านบาทต่อปี หรือมีการระบุถึงการหารายได้ของพรรคการเมืองที่มีจำนวน 7 ข้อดังกล่าว โดยไม่ได้ระบุถึงการกู้เงินนอกเหนือจากกรณีที่เห็นว่าพรรคการเมืองไม่ใช่บริษัท ที่หวังผลกำไร การกู้ยืมเงินและต้องจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยกับบุคคลใดมันก็อาจถูกครอบงำชี้นำจากนายทุน

แต่ประเด็นที่เกิดขึ้น ก็คือ ทุกเรื่องล้วนมีสาเหตุหรือต้นตอจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งกรณีนี้ก็เหมือนกัน เป็นเพราะเขาไปเปิดเผยเรื่องนี้เองระหว่างไปการไปพูดที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศว่าเขาได้ปล่อยกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่จำนวนกว่าร้อยล้านบาท(บอกว่าจำตัวเลขแน่นอนไม่ได้) อาจเป็นเพราะว่าต้องการ “โชว์ออฟ” ให้เห็นว่าต้องการโชว์การทำพรรคแบบใหม่ที่เปิดเผย และจากนั้นเมื่อคำพูดมัดตัวเองในระหว่างการยื่นบัญชีทรัพย์สินก็ต้องแสดงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ระบุถึงเรื่องเงินกู้จำนวนนี้ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วย แต่อีกนัยหนึ่งมันก็เหมือนกับเป็นการยอมรับความจริงว่ามีเรื่องแบบนี้ โดยที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ เนื่องจากมีการระบุชัดในเอกสารที่ยื่นต่อ ปปช.อยู่แล้ว

อีกหลายเรื่องที่เป็นทำนอง “ตายเพราะปาก” หรือความไม่รอบคอบ ที่ไม่ต่างจาก “ไร้เดียงสา” รวมไปถึงการที่ไม่รู้จักบทบาทของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำ “บลายด์ทรัสต์” ที่อ้างว่าได้ถ่ายโอนหุ้นให้กับกองทุนเพื่อบริหารจัดการแทนเขาระหว่างที่อยู่ในการเมืองเพื่อความโปร่งใสป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน และยังอ้างว่าเขาทำแบบนี้เป็นตัวอย่างของนักการเมืองรายแรกของไทย แต่เมื่อมีการค้นพบความจริงว่ามีนักการเมืองทำมาก่อน และกรณีของเขาก็ไม่อาจพิสูจน์ได้จริงว่ามีการโอนหุ้นอะไรไปบ้าง และที่สำคัญเขาไม่ได้โอนหุ้นจริง มาอ้างภายหลังว่าเป็นเพราะเขาถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.

นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาพลาดอย่างแรงหรือ ที่เรียกว่า “ตายเพราะปาก” ก็เห็นได้จากคำพูดที่ไปประจานหรือเรียกว่า”เหยียบ” นายทักษิณ ชินวัตร กลางศาลรัฐธรรมนูญในระหว่างไต่สวนพยานในคดีโอนหุ้นสื่อก่อนหน้านี้โดยมีการต่อรองว่าหากมีการวินิจฉัยที่เป็นคุณกับเขา “จะไม่ทำการเมืองแบบทักษิณในลักษณะที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน” เป็นอันขาด ซึ่งความหมายก็ไม่ต่างจากการ “เหยียบคนอื่นให้จมดิน” เพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ ซึ่งจากคำพูดดังกล่าวได้สร้างความโกรธแค้นให้กับบรรดาสาวกของ นายทักษิณ จำนวนมาก

และอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้จะไม่ได้เห็นการเคลื่อนไหวสนับสนุนจากมวลชนของพรรคเพื่อไทยออกมาแสดงความเห็นใจเลย เพราะอีกด้านหนึ่งจะว่าไปแล้วการเติบใหญ่ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ นั่นก็เท่ากับการเบียดแทรกหรือข่ม นายทักษิณ ชินวัตร และ พรรคเพื่อไทยในวันข้างหน้านั่นเอง !!



กำลังโหลดความคิดเห็น