กกพ.เสนอใช้โครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานเดิมออกไปอีก 1 ปี หลังพบข้อดี ทำให้สามารถดึงเงินที่ลงทุนไม่เป็นไปตามแผนของ 3 การไฟฟ้า ดูแลค่าไฟประชาชนจนสามารถตรึงค่าเอฟทีตลอด 16 เดือน 1.8 หมื่นล้านบาท ช่วยคนไทยประหยัด โดยเตรียมปรับค่าไฟฐานใหม่เริ่มปี 64 เล็งเคาะให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย คืนเงินค่าประกันการใช้ไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟรายย่อย 22 ล้านราย
นายชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)เปิดเผยว่า ขณะนี้กกพ.ได้เสนอกระทรวงพลังงาน ขอแก้ไขโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฐานที่ใช้ตั้งแต่ปี 58-62 ไปจนถึงปี 63 ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)เดือนธ.ค.นี้เนื่องจากพบว่า โครงสร้างค่าไฟปัจจุบันมีผลดี ในการนำเงินลงทุนของ 3 การไฟฟ้าที่ไม่เป็นไปตามแผน (Call Back )มาบริหารจัดการ จนส่งผลให้ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft)ที่จะปรับทุก 4 เดือน ตามต้นทุนการผลิตไฟฟ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ต้นปี 62 จนถึงงวดล่าสุด (ม.ค.-เม.ย.63) รวม 16 เดือน คิดเป็นมูลค่า 18,789 ล้านบาท ที่สามารถลดภาระรายจ่ายให้กับประชาชนได้
"โครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานจะครบ 5 ปี ซึ่งตามปกติจะต้องมีการทบทวนใหม่จึงขอขยายไปอีก 1 ปี และในปี 63 จะทำการศึกษา ปรับโครงสร้างให้สอดรับกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไปโดยจะศึกษาเสร็จเพื่อใช้ในปี 64" นายชาญวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ กกพ.ยังอยู่ระหว่างการทบทวนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน พ.ศ. 2561-2564 ให้ทันสมัย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกำกับกิจการพลังงานของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคลอ้งกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยจะใช้เงินงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์ 5,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านบาท ในการดำเนินงาน
น.ส.นฤภัทร์ อมรโฆษิต เลขาธิการสำนักงาน กกพ. กล่าวว่า สำนักงานฯ กกพ. ได้หารือกับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เพื่อคืนตัวเงินประกันการใช้ไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อย (บ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก) ที่มีอยู่ราว 22 ล้านราย คิดเป็นวงเงินรวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท สำหรับผู้ที่จ่ายค่าไฟต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี หรือลูกค้าชั้นดีโดยเตรียมเสนอเรื่องนี้ให้ กกพ.พิจารณาดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตามผู้ที่จะยื่นใช้ไฟใหม่ก็จะต้องจ่ายเงินค่าประกันการใช้ไฟเช่นเดิม ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานสัญญาให้บริการผู้ไช้ไฟรายย่อยที่มีผลบังคับใช้วันที่เมื่อปี 59
"ปกติเมื่อมีการขอใช้ไฟกับการไฟฟ้า จะต้องวางเงินค่าประกันฯ 2,000-4,000 บาท และมีการนำไปฝากได้ดอกเบี้ย กกพ.จึงได้ดำเนินการที่จะคืนดอกเบี้ยออมทรัพย์เฉลี่ยทั้งปี ของธนาคารกรุงไทย คืนทุก 5 ปี ซึ่งในภาคอุตสาหกรรม เริ่มจ่ายแล้ว แต่บ้านที่อยู่อาศัยจะเริ่มจ่ายในเดือน ก.พ.63 แต่เนื่องจากดอกผลเงินประกันเป็นจำนวนเงินน้อยมาก จึงคิดว่าจะจ่ายเงินต้นที่วางไว้ด้วยแต่ต้องเป็นลุกค้าชั้นดี ส่วนรายใหญ่ ที่เป็นภาคอุตสาหกรรมนั้น การวางเงินประกันมักใช้เป็นแบงก์การันตี จึงไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ซึ่งคงต้องรอ กกพ.พิจารณารายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง" น.ส.นฤภัทร์ กล่าว
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ รองเลขาสำนักงาน กกพ.กล่าวว่า การมาขอยื่นเป็นผู้นำเข้า และจัดหาหรือ Shipperก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) ที่ปัจจุบันมีเพียง บมจ.ปตท. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ที่อยู่ระหว่างการนำร่องทดลองนำเข้ายังไม่มีแต่มีเพียงการสอบถามเข้ามา 2-3 ราย อาทิ อาทิ บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM)และ บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH)เป็นต้นแต่ทั้งนี้ กกพ.อยู่ระหว่างการปรับปรุงระเบียบการดูแลผู้บริหารท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (TSO)เพื่อรองรับนโยบายการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส มีอิสระ และมีประสิทธิภาพ
นายชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)เปิดเผยว่า ขณะนี้กกพ.ได้เสนอกระทรวงพลังงาน ขอแก้ไขโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฐานที่ใช้ตั้งแต่ปี 58-62 ไปจนถึงปี 63 ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)เดือนธ.ค.นี้เนื่องจากพบว่า โครงสร้างค่าไฟปัจจุบันมีผลดี ในการนำเงินลงทุนของ 3 การไฟฟ้าที่ไม่เป็นไปตามแผน (Call Back )มาบริหารจัดการ จนส่งผลให้ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft)ที่จะปรับทุก 4 เดือน ตามต้นทุนการผลิตไฟฟ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ต้นปี 62 จนถึงงวดล่าสุด (ม.ค.-เม.ย.63) รวม 16 เดือน คิดเป็นมูลค่า 18,789 ล้านบาท ที่สามารถลดภาระรายจ่ายให้กับประชาชนได้
"โครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานจะครบ 5 ปี ซึ่งตามปกติจะต้องมีการทบทวนใหม่จึงขอขยายไปอีก 1 ปี และในปี 63 จะทำการศึกษา ปรับโครงสร้างให้สอดรับกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไปโดยจะศึกษาเสร็จเพื่อใช้ในปี 64" นายชาญวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ กกพ.ยังอยู่ระหว่างการทบทวนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน พ.ศ. 2561-2564 ให้ทันสมัย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกำกับกิจการพลังงานของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคลอ้งกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยจะใช้เงินงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์ 5,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านบาท ในการดำเนินงาน
น.ส.นฤภัทร์ อมรโฆษิต เลขาธิการสำนักงาน กกพ. กล่าวว่า สำนักงานฯ กกพ. ได้หารือกับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เพื่อคืนตัวเงินประกันการใช้ไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อย (บ้านที่อยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก) ที่มีอยู่ราว 22 ล้านราย คิดเป็นวงเงินรวมประมาณ 2 หมื่นล้านบาท สำหรับผู้ที่จ่ายค่าไฟต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี หรือลูกค้าชั้นดีโดยเตรียมเสนอเรื่องนี้ให้ กกพ.พิจารณาดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตามผู้ที่จะยื่นใช้ไฟใหม่ก็จะต้องจ่ายเงินค่าประกันการใช้ไฟเช่นเดิม ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานสัญญาให้บริการผู้ไช้ไฟรายย่อยที่มีผลบังคับใช้วันที่เมื่อปี 59
"ปกติเมื่อมีการขอใช้ไฟกับการไฟฟ้า จะต้องวางเงินค่าประกันฯ 2,000-4,000 บาท และมีการนำไปฝากได้ดอกเบี้ย กกพ.จึงได้ดำเนินการที่จะคืนดอกเบี้ยออมทรัพย์เฉลี่ยทั้งปี ของธนาคารกรุงไทย คืนทุก 5 ปี ซึ่งในภาคอุตสาหกรรม เริ่มจ่ายแล้ว แต่บ้านที่อยู่อาศัยจะเริ่มจ่ายในเดือน ก.พ.63 แต่เนื่องจากดอกผลเงินประกันเป็นจำนวนเงินน้อยมาก จึงคิดว่าจะจ่ายเงินต้นที่วางไว้ด้วยแต่ต้องเป็นลุกค้าชั้นดี ส่วนรายใหญ่ ที่เป็นภาคอุตสาหกรรมนั้น การวางเงินประกันมักใช้เป็นแบงก์การันตี จึงไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ซึ่งคงต้องรอ กกพ.พิจารณารายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง" น.ส.นฤภัทร์ กล่าว
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ รองเลขาสำนักงาน กกพ.กล่าวว่า การมาขอยื่นเป็นผู้นำเข้า และจัดหาหรือ Shipperก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) ที่ปัจจุบันมีเพียง บมจ.ปตท. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ที่อยู่ระหว่างการนำร่องทดลองนำเข้ายังไม่มีแต่มีเพียงการสอบถามเข้ามา 2-3 ราย อาทิ อาทิ บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM)และ บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH)เป็นต้นแต่ทั้งนี้ กกพ.อยู่ระหว่างการปรับปรุงระเบียบการดูแลผู้บริหารท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (TSO)เพื่อรองรับนโยบายการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใส มีอิสระ และมีประสิทธิภาพ