จะไปหยิบเอาเรื่องราวประเภท “เบาๆ-สบายๆ” มานำเสนอในช่วงปิดฉากสัปดาห์นี้...ก็ออกจะเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์พอๆ กับหาหนวดเต่า-เขากระต่ายนั่นแหละทั่น เพราะดูเหมือนว่าผู้คนในโลกช่วงนี้ ชักออกอาการ “หัวร้อน” หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มันถึงได้เกิดการประท้วงโน่น ประท้วงนี้ แทบจะทั่วทุกซีกโลกระดับ “World in flames” ไปแล้วก็ว่าได้...
ไล่มาตั้งแต่ยุโรป...มีทั้งสเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลแลนด์ ฯลฯ ข้ามฝั่งไปแถวๆอเมริกาใต้ ลากมาตั้งแต่เม็กซิโก เอกวาดอร์ ยันไปถึงชิลี ที่ยังประท้วงกันไม่แล้วเสร็จ ฯลฯ ย้อนมาแถวๆ แอฟริกา ก็มีทั้งไลบีเรีย กินี ฯลฯ ที่ไม่รู้ว่าไปถึงไหนต่อถึงไหนมั่งแล้ว ส่วนเอเชียก็แทบไม่ต้องพูดถึง ฮ่องกงนั้น...เกือบครึ่งปีเข้าไปแล้ว ก็ยังไม่คิดจะเลิก แถมยังแรงขึ้นๆ อีกต่างหาก ถึงขั้นชักมีด ชักดาบ ออกมาเสียบ มาแทง นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม แบบชนิดซึ่งๆ หน้า เลยขึ้นไปแถวๆ ตะวันออกกลาง ทั้งอิรัก เลบานอน ฯลฯ ก็ยังหาข้อสรุป ข้อยุติกันไม่เจอจนตราบเท่าทุกวันนี้...
อีกทั้งด้วยความก้าวหน้า ก้าวไกลของ “สื่ออิเล็กทรอนิกส์” ทั้งหลาย...ที่ออกจะเป็นตัวช่วยให้เกิดการลุกฮือ และการแพร่ระบาดได้อย่างชนิดไม่ต่างอะไรไปจากโรคติดต่อ หรือทำให้การก่อการประท้วงในแต่ละแห่ง แต่ละที่ แทบไม่ต้องพึ่งพาอาศัยบรรดา “แกนนำ-แกนนั่ง-แกนนอน” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แถมยังสามารถส่งผ่านอาการ “หัวร้อน” ให้เกิดความเชื่อมโยงและบูรณาการได้แบบข้ามชาติ ข้ามพรมแดน ซะอีกด้วย ดังนั้น...ปิดฉากสัปดาห์นี้ เลยคงต้องขออนุญาตลองไปสำรวจตรวจสอบแนวโน้มของบรรดาการประท้วงเหล่านี้กันดูสักหน่อย เผื่อว่าอาจมีอะไรที่พอหยิบมาเป็นข้อคิดสะกิดใจ มาเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้มั่ง แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี...
คือถ้าว่ากันโดยรวมๆ แล้ว...ประเด็นที่ก่อให้เกิดการประท้วง หรือเป็นตัวจุดระเบิดสถานการณ์ในแต่ละแห่ง แต่ละที่ มาถึง ณ ขณะนี้ มันดูจะได้ “กลายพันธุ์” กันไปเยอะแล้ว อย่าง “ฮ่องกง” ที่เริ่มต้นด้วยการประท้วง “กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน” มาถึงบัดนี้มันชักกลายเป็นการประท้วงเพื่อหวังจะ “แยกดินแดน” หรือแยกเกาะฮ่องกงออกไปจากจีน อย่างชนิดชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะแบกเอาธงชาติอเมริกัน อังกฤษ มาโบกไป-โบกมา หรือตะโกนร้องเพลงชาติของประเทศอื่นๆ ระหว่างการประท้วง แต่การยกระดับไปถึงขั้นส่งผลให้สภาผู้แทนฯ อเมริกัน ถึงกับกล้าออกกฎหมายเพื่อเปิดทางให้รัฐบาลอเมริกันสามารถแทรกแซงเกาะฮ่องกงกันโดยเฉพาะ แม้ยังไม่ถึงกับมีผลบังคับใช้ได้ตามปกติ แต่ก็พอจะสะท้อนให้เห็น ว่าการลุกฮือของมวลชน ณ ที่หนึ่ง ที่ใดนั้น อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “เหตุปัจจัยภายใน” ไปซะทั้งหมด แต่ยังมี “เหตุปัจจัยภายนอก” ที่พร้อมจะเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันกับความไม่สงบ ความวุ่นวายใดๆ ได้เสมอๆ...
อิรักและเลบานอน...ก็ดูจะไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากกัน จากประเด็นการประท้วงที่ถูกจุดระเบิดด้วยแนวคิดที่จะเก็บภาษีอินเทอร์เน็ต หรือ “WhatsApp Tax” ของรัฐบาลเลบานอน หรือประเด็นการว่างงาน การให้บริการสาธารณะแบบห่วยแตก ฯลฯ ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาลอิรัก ที่เพิ่งเข้ามามีส่วนรับผิดชอบแค่ไม่ถึงปีเท่านั้นเอง มาถึง ณ ขณะนี้...มันชักบานปลาย ปลายบาน กลายเป็นเรื่องอะไรไปแล้วก็ไม่รู้??? กลายเป็นการรวมตัวเพื่อ “บุกสถานกงสุลอิหร่าน” ที่เมือง “Karbala” ประเทศอิรัก เมื่อช่วงวันอังคาร (5 พ.ย) ที่ผ่านมา ปลดธงชาติอิหร่านลงมาเผา มากระทืบ แล้วชักธงชาติอิรักขึ้นไปแทนที่ พร้อมกับปาระเบิดขวด เผายางรถยนต์ จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บล้มตายไปอีกเป็นชุดๆ หลังจากที่ตายไปแล้ว เจ็บไปแล้ว ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันราย...
หรือกลายเป็นฉากสถานการณ์ที่ทำให้สมาชิกสภาอาวุโสของอิรัก “นายHunain al-Qaddo” ถึงกับต้องมองว่า เป็นความพยายามแยกสลาย หรือฉีกประเทศอิรักออกเป็นชิ้นๆ โดยเฉพาะก่อการลุกฮือขึ้นในพื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของหัวหน้าเผ่าชาวเคิร์ด นิกายซุนนี ที่พยายามยกระดับข้อเรียกร้องถึงขั้นให้รัฐบาลนายกรัฐมนตรี “Adel Abdul Mahdi” ที่ถูกกล่าวหาว่า “โปรอิหร่าน” ลาออกไปโดยไว อันอาจนำไปสู่การจัดตั้ง “เขตปกครองตนเอง” ของชาวเคิร์ดที่อเมริกาและอิสราเอลให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ไม่ว่าในแง่เงินทุนหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ จนประเทศอิรักอาจต้องแตกออกไปเป็นชิ้นๆ เป็น 3 ส่วน 5 ส่วน 3 ประเทศ หรือ 5 ภูมิภาค เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ไม่ต่างไปจากการประท้วงที่ยืดเยื้อมาถึงสัปดาห์ที่ 4 ในเลบานอน...แม้ว่านายกรัฐมนตรี “Saad Hariri” จะโยนผ้า ยอมแพ้ยกธงขาวลาออกไปเรียบร้อยแล้ว แต่บรรดาผู้ประท้วงยังคงลุกฮือล้อมกรอบที่ทำการรัฐบาลในเมืองเบรุตและเมืองอื่นๆ เพื่อกดดันให้ประธานาธิบดีเปิดเผยรายชื่อ ผู้ที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดใหม่ ว่าจะ “ยี้-ไม่ยี้” หรือเป็นผู้ที่บรรดาผู้ประท้วง ไปจนผู้ที่อยู่เบื้องหลังผู้ประท้วงปรารถนาและต้องการ หรือไม่อย่างไร? ส่วนใคร? หรืออะไร? ที่จัดอยู่ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังการประท้วง ก็คงหนีไม่พ้นไปจากศัตรูคู่กัดของอิหร่านและผู้ที่ “โปรอิหร่าน” ในเลบานอน อย่าง “คุณพ่ออเมริกา” และ “อิสราเอล” นั่นเอง...
อันนี้...อาจต่างไปจากการประท้วงในชิลีอยู่บ้างเล็กน้อย ที่แม้ประเด็นการประท้วง หรือการจุดระเบิดสถานการณ์ จะมีลักษณะไม่ถึงกับต่างไปจากกันมากมายนัก คืออาศัยที่รัฐบาลคิดจะขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงซานติอาโก เพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ 30 เปโซ หรือประมาณ 1.17 ดอลลาร์ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เลย “เตร๊ง เตรง เตร่งต๋อย ไฟไหม้มูลฝอยดังพรึ่บบ์บ์บ์” ขึ้นมาโดยทันที แต่สิ่งที่รัฐบาลหรือพันธมิตรของรัฐบาลชิลี พยายามชี้นิ้ว พยายามตั้งข้อสมมติฐาน ว่าอาจอยู่ในฐานะ “ผู้อยู่เบื้องหลังการประท้วง” คราวนี้ ชนิดที่ประธานาธิบดี “Sabastian Pinera” ถึงกับออกมาระบุว่า “เรากำลังอยู่ในภาวะสงคราม กับศัตรูผู้มีอำนาจที่ไม่คิดจะย่อท้อ และไม่ให้ความเคารพต่อทุกสิ่งทุกอย่างทุกๆ คน” ก็ดูจะออกไปทาง “คุณน้ารัสเซีย” ไปซะนี่!!! ดังที่ผู้ช่วยเลขานุการกิจการซีกโลกตะวันตกของอเมริกา “นายMichael Kozak” ได้ออกมาตั้งข้อกล่าวหาเอาไว้ว่า หน่วยงานรัสเซียได้เจาะเข้าไปแทรกแซงเครือข่ายโซเชียลมีเดียของชิลี และได้ปล่อย “ข่าวปลอม” จำนวนมาก จนนำไปสู่การลุกฮือก่อความไม่สงบ เพื่อต่อต้านนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมของรัฐบาลชิลี ซึ่งดำเนินมาในตลอดช่วงระยะ 30 ปีที่ผ่านมา...
จริง-ไม่จริง? ไผเป็นไผ? ใครเป็นใคร?...ก็ยากส์ส์ส์ที่จะสรุปได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ภายใต้ “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” ที่ยังถูกวางกองระเกะระกะ ไม่ต่างไปจากกองฟืนแห้งๆ ภายในแต่ละประเทศได้กลายเป็นสิ่งซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อไฟ ให้กับใครก็แล้วแต่ที่อยู่นอกประเทศ ในการ “จุดไฟในนาคร” ขึ้นมาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะภายใต้ภาวะความตกต่ำทางเศรษฐกิจที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วทั้งโลก และภายใต้ภาวะที่ “สื่ออิเล็กทรอนิกส์” เป็นอะไรที่มีประสิทธิภาพเอามากๆ ในการแพร่ระบาด “โรคติดต่อ” ทำนองนี้ ชนิดข้ามโลก ข้ามประเทศ ข้ามพรมแดนได้เสมอๆ ประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา จึงคงต้องระมัดระวังตัวเอาไว้มั่ง หรือคงต้องหาทางฉีดวัคซีน หาทางสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ...