xs
xsm
sm
md
lg

ทำไม “ทรัมป์” ถึงไม่มาร่วมประชุมอาเซียน???

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงไม่ต้องเสียเวลาร่อนไปไหนไกลๆ เพราะ “เล้ง...อยู่สะพานขาวแค่นี้เอง” (ประทานโทษ) เพราะการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 ที่ไม่เพียงผู้นำอาเซียน 10 ประเทศ แต่ยังมีตัวแทนของประเทศคู่เจรจาระดับใหญ่ๆ เบ้งๆ ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าอเมริกา, รัสเซีย, จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย แถมเลขาฯ ยูเอ็น และประธานไอเอ็มเอฟต่างก็แห่มาร่วมประชุมตั้งแต่วันที่ 2 ถึงวันที่ 4 พ.ย. ที่เมืองทองธานี กรุงเทพมหานครของเรานี่เอง...

ส่วนเนื้อหาสาระ รายละเอียดการประชุม...จะเป็นไปในรูปไหน แบบไหน คงพอติดตามได้จากข่าวคราวตามปกติ แต่สิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจ หรือสิ่งที่อาจถือเป็น “ไฮไลต์” ตั้งแต่การประชุมยังไม่ได้เริ่มต้น ก็คือการที่ผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ท่านดูจะไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือให้ความสนใจกับการประชุมที่ว่านี้มากมายสักเท่าไหร่ เลยส่งแค่ตัวแทนระดับที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายโรเบิร์ต โอ’ไบรอัน” (Robert O’Brien) กับรัฐมนตรีพาณิชย์ “นายวิลเบอร์ รอสส์” (Wilber Ross) มาร่วมเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ เท่านั้นเอง ต่างจากประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจีนที่ส่งระดับนายกรัฐมนตรี “หลี เค่อเฉียง” ญี่ปุ่นที่ “ชินโสะ อาเบะ” มาเอง อินตะระเดียที่ “นเรนทรา โมดี” ก็มานะนายจ๋า เกาหลีใต้ “มุน แจอิน” ก็ไม่คิดจะรอช้า ไม่อิดๆ ออดๆ ใดๆ แม้แต่น้อย ฯลฯ...

การที่ผู้นำอเมริกาแสดงท่าทีไม่ค่อยให้ความสนใจต่อบรรดาประเทศในภูมิภาคอาเซียนมากมายสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญระดับโลกอยู่พอสมควร โดยเฉพาะถ้าคิดจะแข่งขัน คิดจะปิดล้อมมหาอำนาจคู่แข่ง หรือ “Rival Power” อย่างประเทศจีนด้วยแล้ว เลยกลายเป็นสิ่งที่ถูกนำไปพูดจา ไปวิเคราะห์วิจารณ์กันพอสมควร แม้ถ้าจะว่าไปแล้ว...ก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องน่าแปลกใจอะไรมากมาย เพราะโดยสรุปแล้ว...คงเป็นลักษณะอาการประเภทออกไปทาง “ถอดใจ” หรือ “ชักปลงๆ” อะไรประมาณนั้นนั่นแหละเป็นสำคัญ...

คือนับตั้งแต่เกือบ 8 ปีมาแล้ว...หรือตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2011 ที่คุณพ่ออเมริกาเขาพยายามหาทางลดทอนอำนาจคู่แข่งอย่างจีนด้วยการหันมา “ปักหมุดที่เอเชีย” (Pivot to Asia) ตั้งแต่ยุค “โอมาบา” ยุค “ฮิลลารี” โน่นเลย แต่เท่าที่ผ่านมา...การหาที่ปักที่เสียบ อะไรต่อมิอะไรในภูมิภาคนี้ มันออกจะหนักไปทางเพลง “พุ่มพวง ดวงจันทร์” ซะเป็นหลัก คือออกไป “เสียบหล่น-เสียบหล่น...ตั้ง 5-6 ที” อะไรประมาณนั้น แม้ไปปักแถวๆออสเตรเลียแทบจะสุดขอบโลก แต่ก็ได้แค่ส่งทหารไปประจำการแค่ไม่กี่ร้อยกี่พันนาย จนกระทั่งเมื่อถึงยุค “ทรัมป์บ้า”...ช่วงแรกๆ ก็ดูจะคึกๆ คักๆ อยู่พอสมควร เกิดการประดิษฐ์คิดค้น ตบแต่ง ต่อยอดให้กลายมาเป็น “ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” (Indo-Pacific Strategy) ที่กะจะแผ่อิทธิพลเชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของอินเดียไปจนถึงฝั่งตะวันออกของอเมริกาแบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ โดยพยายามดึงอินตะระเดียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแนวปิดล้อมจีน ร่วมกับบรรดาพันธมิตรหลักๆ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ไปจนถึงออสเตรเลีย ถึงขั้นลงทุนเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามของ “กองบัญชาการทหารภาคแปซิฟิก” (PACOM) กลายมาเป็น “กองบัญชาการทหารภาคอินโด-แปซิฟิก” (INDOPACOM) ในยุคที่ “นายเจมส์ แมตทิส” ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม และ “นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน” ยังเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยว่ากันว่า...เพื่อหวังจะเอาใจอินตะระเดียอะไรทำนองนั้น...

แต่สุดท้าย...เมื่อทั้ง “นายเจมส์ แมตทิส” และ “นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน” ดัน “ถูกถีบ” ออกไปจากวงจรของ “ทรัมป์บ้า” ด้วยกันทั้งคู่ “ความเสื่อม” ของจักรวรรดิอเมริกา ที่เริ่มแสดงให้เห็นมานานแล้ว นับแต่ยุค “โอมาบา” เอาเลยก็ว่าได้ ก็เลยยิ่งออกอาการทะรูดทะราดหนักขึ้นไปอีก ไม่ใช่แต่เฉพาะในหมู่ประเทศอาเซียนที่หาที่ “ปักหมุด” ไม่ค่อยเจอะเจอเท่านั้น กระทั่งเกาะเล็กๆ ในแปซิฟิก อย่างเกาะ “ปาปัวนิวกินี” ที่เต็มไปด้วยคนป่า คนเถื่อนประมาณแค่ 6 ล้านคนเท่านั้น แต่ความพยายามยื้อแย่งแข่งขันกับจีนเพื่อดึงเอาเกาะเหล่านี้มาอยู่ใต้อิทธิพลของตน โดยเฉพาะในช่วงการประชุม “เอเปก” ครั้งที่ 26 ช่วงปลายปีที่แล้ว ขณะอเมริกาเสนอทุ่มเงินประมาณ 1,700 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าและเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ให้อดีตมนุษย์กินคน ที่ยังอาจสวมบวบ สวมตอ ได้มีโอกาสกดไลค์ กดไม่ไลค์ กะใครเค้ามั่ง แต่เผอิญว่าข้อเสนอดังกล่าว...ยังต้องรวมไปถึงการอนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ ร่วมกับออสเตรเลียเข้ามาตั้งฐานทัพที่เกาะ “Manus” เพื่อปิดล้อมจีนควบคู่ไปด้วย ขณะที่จีนนอกจากไม่ได้คิดดึงชาวปาปัวนิวกินีมาเป็นหนังหน้าไฟ ยังพร้อมสาดเงินอุดหนุนถึง 4,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้ปาปัวนิวกินีสร้างเครือข่ายถนนแห่งชาติไว้รองรับโครงการ “One-Belt, One-Road” โดยไม่ต้องสู้กับใคร ไม่ต้องไปปิดล้อมใคร สุดท้าย...งานนี้ก็เลย “เสร็จจีน” ไปอีกจนได้ ไม่ต่างไปจากบรรดาประเทศอาเซียนที่กำลังเสร็จจีนไปเป็นรายๆ นั่นแล...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าในแง่เศรษฐกิจ การเมือง ไปจนการทหาร เมื่อมาถึง ณ ขณะนี้ความพยายามแข่งขันปิดล้อมจีน ไม่ว่าจะด้วยกรรมวิธี “Pivot to Asia” หรือ “Indo Pacific” ก็แล้วแต่ ล้วนแต่ออกอาการเหี่ยวปลายแห้วกระป๋องไปด้วยกันทั้งสิ้น สำหรับในแง่ “เศรษฐกิจ” โครงการความร่วมมือ “Belt and Road” ของจีน ไม่เพียงแต่ “ตีกิน” ไปทั่วทั้งอาเซียน ยังหันไปงาบแอฟริกา ละตินอเมริกา เลยไปถึงยุโรปตะวันออก ลามเข้าไปในยุโรปตะวันตกกันบ้างแล้ว ขณะที่อเมริกากลับหนักไปทาง “โครงการสร้างศัตรู” ด้วยการมั่วอยู่กับการ “แซงชั่น” หรือการ “ตัดจีเอสพี” ใครต่อใครไปตามเรื่อง ตามราว และตามอารมณ์อันปรวนแปรของผู้นำ...

สำหรับในแง่ “การเมือง” นั้น...แค่ใครที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ ของ “Jonathan Manthorpe” เหยี่ยวข่าวรุ่นเก๋าและคอลัมนิสต์ “เอเชียไทมส์ ออนไลน์” ที่เพิ่งนำมาเผยแพร่ในเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” เมื่อไม่กี่วันนี่เอง ว่าด้วยเรื่อง “Trump to Asian allies : You may be abandoned next” หรือคำเตือนจากทรัมป์ถึงบรรดาพันธมิตรในเอเชียทั้งหลาย ว่าคุณอาจเป็นรายต่อไปที่ต้องถูก “ถีบทิ้ง” เช่นเดียวกับการ “ถีบพันธมิตรชาวเคิร์ด” ผู้พลีชีพให้รัฐบาลสหรัฐฯ นับเป็นหมื่นๆ ศพ ให้ “ไก่งวงตุรกี” ไล่จิกไล่ตีกันเห็นๆ คงสรุปได้ไม่ยากว่า...สิ่งที่ “Jonathan Manthorpe” เรียกว่า “ความต้องการแบบลัทธิโดดเดี่ยวตัวเอง, ความโง่เขลาและความแปรปรวนเอาแต่ใจตัวเอง” ของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้น สามารถสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า ให้กับผู้ที่ยังคิดจะเป็นมิตรกับอเมริกาได้หนักหนาสาหัสถึงเพียงไหน ไม่ว่าจะเป็นอาเซียน เอเชีย หรือทุกซีกโลกก็ตามแต่...

ส่วนในแง่ “การทหาร”...แค่ลองไปอ่านรายงานการศึกษาของ “ศูนย์ศึกษาอเมริกา” หรือ “United State Study Center” แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ออสเตรเลีย ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อช่วงเดือนกันยาฯ ที่ผ่านมานี่เอง ก็น่าจะไม่มีประเทศใดในอาเซียนและเอเชียที่คิดอยากช่วยคุณพ่ออเมริกาปิดล้อมจีน หรือลดทอนอำนาจแข่งขันของจีนสักเท่าไหร่ เพราะจากข้อความบางตอนในรายงานที่ระบุไว้ถึงขั้นว่า...“จีนเพิ่งติดตั้งขีปนาวุธประจำการที่มีความแม่นยำสูงหลายชนิด รวมทั้งระบบต่อสู้และแทรกแซงอื่นๆ ซึ่งสามารถลดทอนศักยภาพทางทหารของอเมริกา ชนิดสถานที่ตั้งทางทหาร เรือบรรทุกเครื่องบิน ที่อยู่ในอาณาบริเวณแปซิฟิกตะวันตกของสหรัฐฯ ทุกแห่ง รวมทั้งของหุ้นส่วนและพันธมิตรรายสำคัญ จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เพราะอาจถูกโจมตีอย่างแม่นยำด้วยขีปนาวุธเหล่านี้ ภายในช่วงเวลาต้นๆ (ไม่เกิน 8 ชั่วโมง) ของความขัดแย้ง” ด้วยเหตุนี้...ในเมื่อไม่ว่าในแง่เศรษฐกิจ-การเมือง-การทหาร อเมริกาแทบไม่เหลืออะไรไปแข่ง ไปถ่วงรั้ง ไปปิดล้อมมหาอำนาจคู่แข่งในเอเชียอย่างจีนได้อีกต่อไปแล้ว เรื่องอะไรที่จะต้อง “เสียเวลาตีกอล์ฟ” สู้นอนเกาสะดืออยู่กับบ้าน ให้ลูกกระจ๊อก อย่างที่ปรึกษาความมั่นคงมาเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ไปพลางๆ ย่อมสบายกว่ากันเป็นไหนๆ...


กำลังโหลดความคิดเห็น