กังขา"เจ้าคุณบุญเทียม ญานินโท" เลขาสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ที่ต้องคดีเงินทอนวัด ล็อต 2 ถูกหมายเรียกจากกองปราบในคดีเดียวกัน กลับได้รับนิมนต์ไปร่วมงานปฏิบัติธรรม ที่พุทธมณฑล ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เจ้าทุกข์คดีเงินทอนวัด เป็นเจ้าภาพ ตั้งคำถามยุติธรรมกับพระรูปอื่นที่ติดคุกหรือไม่ กฎหมายไทย มีกี่มาตรฐาน
เว็บไซต์อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม ซึ่งเป็นเว็บไซต์วัดไทยในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานในหัวข้อ“ชะแว๊ป! สงสัย ใครหนอเคยเห็นหน้า คลับคล้ายคลับคลา”พร้อมโพสต์รูปจากเฟซบุ๊กประชาสัมพันธ์พุทธมณฑล และหมายเรียก พระราชรัตนมุนี (บุญเทียม มุสุ) หรือ บุญเทียม ญานินโท เลขาฯสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะหนกลาง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร ในคดีเงินทอนวัด ล็อต 2
โดยระบุ TIMELINE ว่า 13 ก.ค.61 : กองปราบออกหมายเรียก เจ้าคุณบุญเทียม วัดพิชัยญาติ เลขานุการ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ไปรับทราบข้อหาในคดีเงินทอนวัด แต่แปลก นอกจากเจ้าคุณบุญเทียม จะไม่ไปปรากฏตัวแล้ว ทางกองปราบ ก็อ้อมแอ้ม ไม่ยอมระบุว่า มีการออกหมายเรียก จริงหรือไม่ และถ้าไม่มาตามหมายเรียก จะดำเนินการต่อไปอย่างไร ทางวัดพิชัยญาติเอง ได้บอกกับนักข่าวว่า เจ้าคุณบุญเทียม ไม่อยู่วัดนานหลายเดือนแล้ว และไม่มีใครพบตัว และก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวว่าเจ้าคุณบุญเทียม หนีไปสึกที่เมืองนอกเหมือนเจ้าคุณแป๊ะแล้ว
27 ก.ค.61 : มีงานปฏิบัติธรรม เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา ที่พุทธมณฑล ปรากฏว่า เจ้าคุณบุญเทียม ได้ไปร่วมงานในฐานะ เลขานุการของงานด้วย
การแจ้งความในคดีเงินทอนวัดนั้น ดำเนินการโดย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเจ้าทุกข์ ส่วนเจ้าคุณบุญเทียม ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว แต่การที่ทั้งเจ้าทุกข์ ทั้งผู้ต้องหา ทำงานร่วมกันอยู่เป็นปกตินั้น มันก็ประหลาด ทั้งเลือกปฏิบัติ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เผลอๆในบัญชีกรรมการมหาเถรสมาคมชุดใหม่ อาจจะมีชื่อ “เจ้าคุณบุญเทียม”ได้รับแต่งตั้งด้วยก็ได้ เพราะขนาดมีชื่อเป็นผู้ต้องหาในคดีเงินทอนวัด ยังร่วมงานกับสำนักพุทธฯ ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง และเมื่อทำงานให้แก่สำนักพุทธฯ ก็ถือว่ามีผลงาน ย่อมจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จ เป็นธรรมดา
แต่ถามว่า ยุติธรรมสำหรับพระรูปอื่นๆ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว และได้รับโทษ ทั้งถูกจับกุมคุมขัง สั่งปลดออกจากตำแหน่ง และสละสมณเพศ ไปอย่างมากมาย หรือไม่ ถามว่า ประเทศไทยมีกี่มาตรฐาน กองปราบไม่ออกหมายเรียก แต่ขอศาลอาญาออกหมายจับ ส่งกำลังเจ้าหน้าที่นับร้อย เข้าปิดล้อมวัดตั้งแต่หัวค่ำ ก่อนปฏิบัติการล็อกตัวในตอนเช้าตรู่ คัดค้านการประกันตัว จับสึก ใส่กางเกงนอนคุก เป็นอันเสร็จพิธีภายในวันเดียว
เลขานุการสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ต้องคดีเงินทอนวัดเช่นกัน กองปราบออกหมายเรียก แต่ไม่การันตี ว่าออกจริงหรือไม่ เพราะเจ้าคุณบุญเทียม ไม่เห็นไปปรากฏตัวที่กองปราบ แต่ก็ไม่เห็นทางกองปราบจะทำอย่างไรต่อไป ผ่านมาได้หลายวันแล้ว ขณะเดียวกัน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ของเจ้าคุณบุญเทียม กลับนิมนต์ไปร่วมงานปฏิบัติธรรม ที่พุทธมณฑล ทำงานร่วมกันได้หน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้คนจึงสงสัยว่า ทำไมกฎหมายไทย ใช้ไม่เหมือนกัน ? ถามไปยัง : 1 . พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ 2. พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ในฐานะเจ้าของสำนักงานพุทธมณฑล ซึ่งเป็นผู้นิมนต์เจ้าคุณบุญเทียม ผู้ต้องหา ไปร่วมงาน และ 3. กองปราบปราม ในฐานะผู้ออกหมายเรียก ออก หรือไม่ออก เรียก หรือไม่เรียก เรียกแล้วไม่มาจะทำอย่างไร ฯลฯ ต้องตอบให้แก่สังคมไทยได้ทราบ อย่าโมเม เฉไฉ ไม่งั้นมีปัญหาแน่
เว็บไซต์อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม ซึ่งเป็นเว็บไซต์วัดไทยในลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา เสนอรายงานในหัวข้อ“ชะแว๊ป! สงสัย ใครหนอเคยเห็นหน้า คลับคล้ายคลับคลา”พร้อมโพสต์รูปจากเฟซบุ๊กประชาสัมพันธ์พุทธมณฑล และหมายเรียก พระราชรัตนมุนี (บุญเทียม มุสุ) หรือ บุญเทียม ญานินโท เลขาฯสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะหนกลาง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร ในคดีเงินทอนวัด ล็อต 2
โดยระบุ TIMELINE ว่า 13 ก.ค.61 : กองปราบออกหมายเรียก เจ้าคุณบุญเทียม วัดพิชัยญาติ เลขานุการ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ไปรับทราบข้อหาในคดีเงินทอนวัด แต่แปลก นอกจากเจ้าคุณบุญเทียม จะไม่ไปปรากฏตัวแล้ว ทางกองปราบ ก็อ้อมแอ้ม ไม่ยอมระบุว่า มีการออกหมายเรียก จริงหรือไม่ และถ้าไม่มาตามหมายเรียก จะดำเนินการต่อไปอย่างไร ทางวัดพิชัยญาติเอง ได้บอกกับนักข่าวว่า เจ้าคุณบุญเทียม ไม่อยู่วัดนานหลายเดือนแล้ว และไม่มีใครพบตัว และก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวว่าเจ้าคุณบุญเทียม หนีไปสึกที่เมืองนอกเหมือนเจ้าคุณแป๊ะแล้ว
27 ก.ค.61 : มีงานปฏิบัติธรรม เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษา ที่พุทธมณฑล ปรากฏว่า เจ้าคุณบุญเทียม ได้ไปร่วมงานในฐานะ เลขานุการของงานด้วย
การแจ้งความในคดีเงินทอนวัดนั้น ดำเนินการโดย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะเจ้าทุกข์ ส่วนเจ้าคุณบุญเทียม ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว แต่การที่ทั้งเจ้าทุกข์ ทั้งผู้ต้องหา ทำงานร่วมกันอยู่เป็นปกตินั้น มันก็ประหลาด ทั้งเลือกปฏิบัติ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เผลอๆในบัญชีกรรมการมหาเถรสมาคมชุดใหม่ อาจจะมีชื่อ “เจ้าคุณบุญเทียม”ได้รับแต่งตั้งด้วยก็ได้ เพราะขนาดมีชื่อเป็นผู้ต้องหาในคดีเงินทอนวัด ยังร่วมงานกับสำนักพุทธฯ ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง และเมื่อทำงานให้แก่สำนักพุทธฯ ก็ถือว่ามีผลงาน ย่อมจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จ เป็นธรรมดา
แต่ถามว่า ยุติธรรมสำหรับพระรูปอื่นๆ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว และได้รับโทษ ทั้งถูกจับกุมคุมขัง สั่งปลดออกจากตำแหน่ง และสละสมณเพศ ไปอย่างมากมาย หรือไม่ ถามว่า ประเทศไทยมีกี่มาตรฐาน กองปราบไม่ออกหมายเรียก แต่ขอศาลอาญาออกหมายจับ ส่งกำลังเจ้าหน้าที่นับร้อย เข้าปิดล้อมวัดตั้งแต่หัวค่ำ ก่อนปฏิบัติการล็อกตัวในตอนเช้าตรู่ คัดค้านการประกันตัว จับสึก ใส่กางเกงนอนคุก เป็นอันเสร็จพิธีภายในวันเดียว
เลขานุการสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ ต้องคดีเงินทอนวัดเช่นกัน กองปราบออกหมายเรียก แต่ไม่การันตี ว่าออกจริงหรือไม่ เพราะเจ้าคุณบุญเทียม ไม่เห็นไปปรากฏตัวที่กองปราบ แต่ก็ไม่เห็นทางกองปราบจะทำอย่างไรต่อไป ผ่านมาได้หลายวันแล้ว ขณะเดียวกัน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ของเจ้าคุณบุญเทียม กลับนิมนต์ไปร่วมงานปฏิบัติธรรม ที่พุทธมณฑล ทำงานร่วมกันได้หน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้คนจึงสงสัยว่า ทำไมกฎหมายไทย ใช้ไม่เหมือนกัน ? ถามไปยัง : 1 . พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ 2. พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ในฐานะเจ้าของสำนักงานพุทธมณฑล ซึ่งเป็นผู้นิมนต์เจ้าคุณบุญเทียม ผู้ต้องหา ไปร่วมงาน และ 3. กองปราบปราม ในฐานะผู้ออกหมายเรียก ออก หรือไม่ออก เรียก หรือไม่เรียก เรียกแล้วไม่มาจะทำอย่างไร ฯลฯ ต้องตอบให้แก่สังคมไทยได้ทราบ อย่าโมเม เฉไฉ ไม่งั้นมีปัญหาแน่