ศาลจังหวัดนครพนม อนุมัติหมายจับ "สีกาจุ๋ม ศศิร์อร" พร้อมพวก 4 คน พา "อดีตพระพรหมเมธี" หนีไป สปป.ลาว เผย “สีกาจุ๋ม” จับเครื่องหนีไปอังกฤษแล้ว “บมจ.ทุ่งคา” ยันไม่เกี่ยวข้องเหมืองแร่ที่ สปป.ลาว ด้าน “ธรรมกาย” ปักข่าวให้ที่พำนักแก่ “อดีตพระจำนงค์”
วานนี้ (7 มิ.ย.) มีรายงานว่า ศาลจังหวัดนครพนม ได้อนุมัติออกหมายจับบุคคลที่ให้การช่วยเหลืออดีตพระพรหมเมธี หรือพระจำนงค์ เอี่ยมอินทรา อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ผู้ต้องหาตามหมายจับฐานร่วมกันฟอกเงิน หรือคดีทุจริตเงินทอนวัดรายสุดท้าย ที่หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอลี้ภัยกับทางการประเทศเยอรมนีอยู่ในขณะนี้แล้ว รวม 5 คน ตามที่ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม รวบรวมพยานหลักฐานเสนอศาลจังหวัดนครพนมเพื่อขออนุมัติหมายจับ
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 5 คนที่ถูกออกหมายจับ ประกอบด้วย 1.นางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล หรือ สีกาจุ๋ม อายุ 54 ปี สัญชาติไทย ซึ่งเป็นคนสนิทของอดีตพระพรหมเมธี 2.นายพีรวิช ศรีศรัทธา อายุ 28 ปี สัญชาติไทย ที่คอยให้การช่วยเหลือ 3.นางจันทนา รัตนวงษ์ สัญชาติลาว 4.นางจิตติมา ลัดตะมะวง สัญชาติลาว 5.นายน้อย รัตนวงษ์ สัญชาติลาว ทั้งนี้ ในส่วนผู้ต้องหา 3 คนที่เป็นชาวลาวที่อยู่ระหว่างการหลบหนี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เร่งประสานงานติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ผู้ใดช่วยผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับนางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล หรือ สีกาจุ๋ม นั้นเป็นนักลงทุนผู้กว้างขวางในวงการตลาดหุ้นของไทย และเจ้าของธุรกิจหลายอย่าง อาทิ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหนึ่งในธุรกิจสำคัญของสามีของสีกาจุ่ม คือการทำเหมืองแร่ใน สปป.ลาว ที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุที่พาอดีตพระพรหมเมธี หลบหนีไปยัง สปป.ลาว อย่างง่ายดาย
ภายหลังจากศาลจังหวัดนครพนมอนุมัติออกหมายจับ 5 บุคคลที่ให้การช่วยเหลือช่วยเหลืออดีตพระพรหมเมธีในการหลบหนี มีรายงานข่าวจาก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า นางศศิร์อร หรือ สีกาจุ๋ม ได้เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปยังท่าอากาศยานฮีทโธรว์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา และยังไม่พบข้อมูลการเดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยแต่อย่างใด
ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร รองประธานกรรมการบริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวกรณีนางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล ถูกกล่าวหากรณีพาพระพรหมเมธีหนีนั้น ตนขอชี้แจงว่าบริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ นางศศิร์อร เป็นเพียงนักลงทุนผู้ถือหุ้นใน บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) เท่านั้น ส่วนที่มีข่าวว่า บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) ทำธุรกิจเกี่ยวกับเหมืองแร่ ใน สปป.ลาว และยังเป็นบริษัทแม่ ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ทำกิจการเหมืองแร่ทองคำใน อ.วังสะพุง จ.เลย นั้น ขอเรียนชี้แจงว่าบริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้ทำกิจการเหมืองแร่ใน สปป.ลาว และไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นบริษัทแม่ ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด โดยการขายหุ้นไปจนหมดสิ้นตั้งแต่ปี2559 จึงขอชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ขณะที่ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้ออกแถลงการณ์ระบุถึงกรณีสื่อมวลชนบางสำนักรายงานข่าวว่า “อดีตพระพรหมเมธี” ขอยื่นลี้ภัยในประเทศเยอรมนี และคาดการณ์ว่า จะพำนักที่สาขาของวัดพระธรรมกายในประเทศเยอรมนีหรือวัดสาขาอื่นในทวีปยุโรปนั้น ทางวัดขอปฏิเสธข่าวดังกล่าวทั้งนี้เพราะไม่ทราบความเคลื่อนไหวและจุดประสงค์ของอดีตพระพรหมเมธี อีกทั้งไม่ได้มีการติดต่อประสานกันแต่อย่างใดและในขณะนี้ทั้งหน่วยราชการไทยที่รับผิดชอบในคดีและสื่อมวลชนต่างๆ ยังไม่มีโอกาสได้พบตัวท่านแต่อย่างใด ดังนั้นเรื่องราวที่นำเสนอทั้งหมดจึงเป็นเพียง ข้อคิดเห็นและการคาดเดาของคนบางกลุ่มเท่านั้น
วานนี้ (7 มิ.ย.) มีรายงานว่า ศาลจังหวัดนครพนม ได้อนุมัติออกหมายจับบุคคลที่ให้การช่วยเหลืออดีตพระพรหมเมธี หรือพระจำนงค์ เอี่ยมอินทรา อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ผู้ต้องหาตามหมายจับฐานร่วมกันฟอกเงิน หรือคดีทุจริตเงินทอนวัดรายสุดท้าย ที่หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอลี้ภัยกับทางการประเทศเยอรมนีอยู่ในขณะนี้แล้ว รวม 5 คน ตามที่ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม รวบรวมพยานหลักฐานเสนอศาลจังหวัดนครพนมเพื่อขออนุมัติหมายจับ
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 5 คนที่ถูกออกหมายจับ ประกอบด้วย 1.นางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล หรือ สีกาจุ๋ม อายุ 54 ปี สัญชาติไทย ซึ่งเป็นคนสนิทของอดีตพระพรหมเมธี 2.นายพีรวิช ศรีศรัทธา อายุ 28 ปี สัญชาติไทย ที่คอยให้การช่วยเหลือ 3.นางจันทนา รัตนวงษ์ สัญชาติลาว 4.นางจิตติมา ลัดตะมะวง สัญชาติลาว 5.นายน้อย รัตนวงษ์ สัญชาติลาว ทั้งนี้ ในส่วนผู้ต้องหา 3 คนที่เป็นชาวลาวที่อยู่ระหว่างการหลบหนี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เร่งประสานงานติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ผู้ใดช่วยผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับนางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล หรือ สีกาจุ๋ม นั้นเป็นนักลงทุนผู้กว้างขวางในวงการตลาดหุ้นของไทย และเจ้าของธุรกิจหลายอย่าง อาทิ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งหนึ่งในธุรกิจสำคัญของสามีของสีกาจุ่ม คือการทำเหมืองแร่ใน สปป.ลาว ที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุที่พาอดีตพระพรหมเมธี หลบหนีไปยัง สปป.ลาว อย่างง่ายดาย
ภายหลังจากศาลจังหวัดนครพนมอนุมัติออกหมายจับ 5 บุคคลที่ให้การช่วยเหลือช่วยเหลืออดีตพระพรหมเมธีในการหลบหนี มีรายงานข่าวจาก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบว่า นางศศิร์อร หรือ สีกาจุ๋ม ได้เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปยังท่าอากาศยานฮีทโธรว์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา และยังไม่พบข้อมูลการเดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยแต่อย่างใด
ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร รองประธานกรรมการบริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวกรณีนางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล ถูกกล่าวหากรณีพาพระพรหมเมธีหนีนั้น ตนขอชี้แจงว่าบริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ นางศศิร์อร เป็นเพียงนักลงทุนผู้ถือหุ้นใน บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) เท่านั้น ส่วนที่มีข่าวว่า บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) ทำธุรกิจเกี่ยวกับเหมืองแร่ ใน สปป.ลาว และยังเป็นบริษัทแม่ ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ทำกิจการเหมืองแร่ทองคำใน อ.วังสะพุง จ.เลย นั้น ขอเรียนชี้แจงว่าบริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้ทำกิจการเหมืองแร่ใน สปป.ลาว และไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นบริษัทแม่ ของ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด โดยการขายหุ้นไปจนหมดสิ้นตั้งแต่ปี2559 จึงขอชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ขณะที่ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้ออกแถลงการณ์ระบุถึงกรณีสื่อมวลชนบางสำนักรายงานข่าวว่า “อดีตพระพรหมเมธี” ขอยื่นลี้ภัยในประเทศเยอรมนี และคาดการณ์ว่า จะพำนักที่สาขาของวัดพระธรรมกายในประเทศเยอรมนีหรือวัดสาขาอื่นในทวีปยุโรปนั้น ทางวัดขอปฏิเสธข่าวดังกล่าวทั้งนี้เพราะไม่ทราบความเคลื่อนไหวและจุดประสงค์ของอดีตพระพรหมเมธี อีกทั้งไม่ได้มีการติดต่อประสานกันแต่อย่างใดและในขณะนี้ทั้งหน่วยราชการไทยที่รับผิดชอบในคดีและสื่อมวลชนต่างๆ ยังไม่มีโอกาสได้พบตัวท่านแต่อย่างใด ดังนั้นเรื่องราวที่นำเสนอทั้งหมดจึงเป็นเพียง ข้อคิดเห็นและการคาดเดาของคนบางกลุ่มเท่านั้น
