นครพนม - ศาลจังหวัดนครพนมออกหมายจับแล้ว 5 สีกาคนสนิท ช่วยเหลือ “อดีตพระพรหมเมธี” หนีข้ามฝั่งลาว ด้านผู้การฯ จังหวัดแจง ขั้นตอนจากนี้ขึ้นอยู่กับ ผบ.ตร.สั่งการ ไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับคดีได้
วันนี้ (7 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีเงินทอนวัด หลังจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระดมกำลังกองปราบปราม และตำรวจชุดสืบสวนลงพื้นที่ จ.นครพนม เพื่อติดตามจับกุมตัวพระจำนงค์ เอี่ยมอินทรา หรืออดีตพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ กทม. หนึ่งในผู้ต้องหาความผิดเกี่ยวกับคดีเงินทอนวัด ที่หลบหนีมาในพื้นที่ จ.นครพนม ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา ก่อนหลบหนีออกไปประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว ทางด่านพรหมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 นครพนม-คำม่วน โดยมีการทิ้งหลักฐานเป็นรถตู้พบรถยนต์ตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน 3 กภ 8672 กทม. ซึ่งพระจำนงค์ใช้ในการเดินทางหลบหนีมาจาก กทม. จอดทิ้งไว้ใกล้กุฏิพระเจ้าอาวาสวัดป่าสุคนธรักษ์ บ้านค่ายเสรี ต.นางาม อ.เรณูนคร โดยเจ้าหน้าได้ยึดมาตรวจสอบ และสืบสวนหาเบาะแส จนกระทั่งล่าสุดมีการประสานงานจับกุมตัวได้ ขณะที่พระจำนงค์หลบหนีไปยังประเทศเยอรมนี และยังอยู่ระหว่างการเจรจาขอตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย
จากการสืบสวนติดตามจับกุมตัวพระจำนงค์ในครั้งนี้ ทางตำรวจได้กุญแจสำคัญหลังจากสามารถควบคุมตัวสีกาคนสนิทที่ให้การช่วยเหลือในการหลบหนี คือ นางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล อายุ 54 ปี ภูมิลำเนาอยู่ กทม. ตรวจสอบประวัติพบว่าเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย เป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่าง
นอกจากนี้ยังมีสามีไปประกอบธุรกิจทำเหมืองแร่ใน สปป.ลาว ทำให้รู้ช่องทางในการเลี่ยงการจับกุม และสามารถพาหนีออกนอกประเทศได้ง่าย รวมถึงมีลูกศิษย์คนสนิทอีก 1 คน คือ นายพีรวิช ศรีศรัทธา อายุ 28 ปี โดยจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าสีกาคนสนิท รวมถึงลูกศิษย์อีกคนอยู่ในการควบคุมของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีชาวลาวอีก 3 คนที่ให้การช่วยเหลือ อยู่ระหว่างการหลบหนี
ล่าสุด วันเดียวกันนี้ ทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตำรวจนครพนมรวบรวมพยานหลักฐานเสนอศาลจังหวัดนครพนม และมีการอนุมัติออกหมายจับบุคคลที่ให้การช่วยเหลือพระจำนงค์แล้วรวม 5 คน ประกอบด้วย 1. นางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล อายุ 54 ปี สีกาคนสนิท 2. นายพีรวิช ศรีศรัทธา อายุ 28 ปี เป็นคนที่คอยให้การช่วยเหลือ ส่วนอีก 3 คนเป็นชาวลาว ที่อยู่ระหว่างการหลบหนี ซึ่งตำรวจจะได้เร่งประสานงานติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 ผู้ใดช่วยผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทางด้าน พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ระบุว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับทางบังคับบัญชาระดับสูง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะสั่งการ ส่วนตำรวจในพื้นที่ พร้อมที่จะดำเนินการทุกขั้นตอนตามกฎหมาย แต่ไม่สามารถให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลเชิงลึกได้ จะต้องรอคำสั่งผู้บังคับบัญชาเท่านั้น เกรงว่าจะกระทบต่อการทำงานของตำรวจ