xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ลอกคราบ“สันธนะ ประยูรรัตน์” “ขาใหญ่” ที่กลายเป็น “โมฆะบุรุษ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์
โดย....ทีมข่าวอาชญากรรม

ปฏิบัติการตรวจค้นร้านค้า “ตลาดแอร์พอร์ต” หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ตลาดใหม่ดอนเมือง” 5 วันติดต่อกัน ภายใต้การนำของ บิ๊กต้อย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว อันเป็นผลต่อเนื่องจากการขยายผลการจับกุมอาหารเสริมคุณภาพต่ำ เมจิกสกิน และตรีชฏา จนได้เบาะแสว่า “ตลาดใหม่ดอนเมือง” เป็นแหล่งปลอมแปลงและขายสินค้าไม่ได้มาตรฐานรายใหญ่ของสินค้าประเภทนี้ ได้ทำให้เรื่องลุกลามบานปลายออกไปกว่าที่คิด

ที่สำคัญคือ ทำไปทำมาทำท่าว่า “เรื่องหลัก” คือการจับกุมแหล่งผลิตอาหารเสริมและเครื่องสำอางด้อยมาตรฐาน จะกลายเป็น “เรื่องรอง” ไปเสียแล้ว ทั้งนี้ เนื่องเพราะได้ปรากฏ “ตัวละครใหม่” ที่ทำให้สังคมต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด นั่นก็คือ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ หรือ “รองต่อ” ดีกรีอดีตรองผู้กำกับตำรวจสันติบาล ซึ่งมีเอี่ยวเป็น “ที่ปรึกษา” ประธานกรรมการตลาดดอนเมืองใหม่

การปรากฏตัวของ พ.ต.ท.สันธนะส่งผลทำให้สถานะของ “ตลาดใหม่ดอนเมือง” ไม่ใช่เป็นแค่ “ตลาดทั่วไป” ไม่ใช่ตลาดที่มีการซื้อขายสินค้ากันตามปกติ หากแต่เป็นตลาดที่มี “ผู้คุ้มครอง” รวมทั้งมีการจ่าย “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” ในการดูตลาดแห่งนี้อีกด้วย

ขณะที่ตัว พ.ต.ท.สันธนะ เองก็ทำงานปกป้องอาณาจักรที่ตัวเองรับงานอย่างถึงพริกถึงขิง โดยออกมาเทกแอ็กชั่น ทวงถามถึงการปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจค้นร้านค้าโดยไม่มีหมายค้น อีกทั้งยังไม่ยินยอมให้ตำรวจตั้งศูนย์ปฏิบัติการในพื้นที่ตลาด จนหวุดหวิดจะปะทะกัน

จากนั้น เรื่องราวบานปลายถึงขั้นตลาดใหม่ดอนเมืองอาจต้องปิดตัวลง เพราะทำผิดหลายข้อหา ทั้งสร้างตึกบุกรุกคลองเปรมประชากร ก่อสร้างต่อเติมและดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่งผลให้กรมธนารักษ์ เจ้าของที่ดิน ที่บริษัท พัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง เช่าทำตลาดสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ ขณะที่ พ.ต.ท.สันธนะ เองก็ยังถูกแจ้งข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

คำถามที่ดังขรมทั่วทั้งแผ่นดินก็คือ พ.ต.ท.สันธนะคือใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เป็นนายตำรวจนอกราชการสายไหน มี “ใคร” เป็น “แบ็ก” หนุนหลังอยู่หรือไม่

แถมยังทำให้สังคมสงสัยด้วยว่า พ.ต.ท.สันธนะมีปัญหาขัดแย้งอะไรกับ “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล” หรือไม่ เพราะนี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนมีปัญหากัน และแวดวงสีกาสีก็รู้ดีว่า “บิ๊กโจ๊ก” นั้น ไม่ใช่นายตำรวจที่ใครจะมาตอแยง่ายๆ แถมยังลามปามไปถึง บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ “รองต่อ” ออกมาพูดในทำนองทวงบุญคุณจากการได้นั่งเป็นหัวขบวนของตำรวจในวันนี้ พร้อมทั้งโชว์พาวฯ ต่อหน้าสื่อมวลชนด้วยการต่อโทรศัพท์สายตรงไปถึง

นี่ไม่นับรวมถึงความผิดปกติที่ “บิ๊กปู-พล.ต.อ.ศรีวรา รังสิพราหมกุล” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ออกมารับรองว่า พ.ต.ท.สันธนะไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งทำให้ถูกโยงกลับมาเป็นเรื่องศึกชิงเก้าอี้ “เบอร์ 1 กรมปทุมวัน” พ่วงรวมเข้ามาด้วย เพราะท่าทีของ “บิ๊กปู” ไม่เพียงแทงสวน “บิ๊กต้อย-บิ๊กโจ๊ก” เท่านั้น หากแต่ยังสวน “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) รวมถึง “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกด้วย

กล่าวสำหรับ พ.ต.ท.สันธนะกับ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์นั้น ถือเป็น “คู่กัด” ที่มีเรื่องระหองระแหงกันมาอย่างต่อเนื่อง โดย “รองต่อ” ออกมาแฉว่า ที่ตำรวจเข้าตรวจค้นตลาดใหม่ดอนเมือง ก็เพราะตัวเองมีปัญหากับ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ในฐานะรองหัวหน้าชุดปฏิบัติการศูนย์ป้องกันปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันแข่งม้า ขณะนำตำรวจเข้าตรวจจับโต๊ดเถื่อนที่สนามม้า จนเกิดการปะทะคารมกัน โดยตนเองได้เข้าร้องเรียนกับ พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ดำเนินการทางวินัยกับบิ๊กโจ๊กและตำรวจที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นฐานปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม

ว่ากันที่จริง ความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กับ พ.ต.ท.สันธนะ เริ่มปรากฏเป็นรูปธรรมนับตั้งแต่ “บิ๊กโจ๊ก” ได้รับคำสั่งให้ทำงานพิเศษในฐานะรองหัวหน้าชุดปฏิบัติการศูนย์ป้องกันปราบปรามการลักบอลเล่นการพนันแข่งม้า ตรวจค้น จับกุมโต๊ดเถื่อน ที่ “รองต่อ” เป็นขาใหญ่คนหนึ่ง และยังเป็น “เจ้าของคอกม้า มิตรภาพไทยเวิลด์” ด้วย

จนล่าสุดเมี่อวันที่ 21 เมษายน ก็เกิดการปะทะคารมกันอย่างรุนแรง ขณะ “บิ๊กโจ๊ก” นำตำรวจเข้าตรวจจับโต๊ดเถื่อนที่สนามม้าราชกรีฑาสโมสร ซึ่งขณะนั้น “รองต่อ” ทำทีเดินไปยังรั้วขอบสนามตัดหน้า “บิ๊กโจ๊ก” ทำให้ตำรวจนายหนึ่งยศ พันตำรวจโท ตวาดใส่ หาว่ามาเดินตัดหน้า พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ จนเกิดการโต้เถียงกัน ซึ่ง พ.ต.ท.สันธนะ เชื่อว่า นี่เป็นมูลเหตุนำมาซึ่งการเข้าตรวจจับร้านค้าในตลาดใหม่ดอนเมืองที่เขาคุมอยู่

กับกรณี “ตลาดใหม่ดอนเมือง” การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขนกำลังไปหลายคันรถ แถมยังมีเจ้าหน้าที่ ปปง.และสรรพากรร่วมขบวนไปด้วย มีการตั้งข้อสังเกตว่า งานนี้ ตำรวจตั้งใจทลายแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้อยคุณภาพ ทั้งอาหารเสริมเถื่อน ยาลดความอ้วนอันตรายและเครื่องสำอางเก๊ หรือต้องการเช็กบิล พ.ต.ท.สันธนะกันแน่ เพราะสาามารถมองอย่างนั้นได้เช่นกัน เนื่องจากทั้ง “รองต่อและบิ๊กโจ๊ก” เคยมีปัญหาระหว่างกันมาก่อน

แน่นอน การหาญกล้าชนกับ “บิ๊กโจ๊ก” นายตำรวจที่กำลังขึ้นหม้อในยุคนี้นั้น ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา และ เมื่อพลิกโปรไฟล์ “รองต่อ” ดูแล้ว ก็พบว่าไม่ธรรมดาจริงๆ

พ.ต.ท.สันธนะ นั้นเป็นบุตรของ พล.ต.ต.สมชาย ประยูรรัตน์ มีพี่ชายร่วมสายเลือดซึ่งสังคมรู้จักดีคือ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ อดีตเลขาธิการอดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. จบโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 17 หรือ ตท.17 จากนั้นเลือกมาเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 33 และยังเข้าเรียนที่วิทยาลัย เอฟบีไอ ในสหรัฐอเมริกา

รองต่อรับตำแหน่งสำคัญในแวดวงสีกากี เป็นสารวัตรอยู่กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจสันติบาล ก่อนโยกข้ามสายไปเป็นสารวัตรกองตรวจค้นเข้าเมือง แล้วย้ายมาเป็นรองผู้กำกับส่วนตรวจราชการ สำนักงานจเรตำรวจ จากนั้นเข้ามาเป็นรองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 2 ตามลำดับ

ช่วงนี้เองที่ชีวิต “รองต่อ” พลิกผัน เมื่อถูก พ.ต.ท.อดิเทพ พิชาดุล สารวัตรสืบสวน สน.บางกอกน้อย ขณะนั้น นำกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบบุกตรวจค้น พี.พี.แมนชั่น ที่ตั้งของสมาคมบริหารธุรกิจและกฎหมาย ซึ่ง พ.ต.ท.สันธนะ มีตำแหน่งอยู่ ครั้งนั้นตัวเขาเองถูกกล่าวหาเปิดให้มีบ่อนการพนัน พร้อมถูกแจ้งข้อหา 10 ข้อหา ซึ่งที่สุดต้องออกจากราชการ

จากนั้นจึงผันตัวเองเข้าสู่แวดวงการเมืองเป็น “รองหัวหน้าพรรคประชากรไทย” ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ว. ในปี 2549 แต่สอบตก ในปีเดียวกันนั้นเอง พ.ต.ท.สันธนะ ถูกคนร้ายยิงถล่มเกือบ 10 นัด กลางสามแยกไฟแดงถนนสวรรคโลกตัดถนนสุโขทัย แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต หลังกลับจากการนำม้าลงแข่งที่สนามนางเลิ้ง แต่ผู้ที่รับเคราะห์คือลูกน้องคนสนิท ส่วนตัวเขาขับรถอีกคันกลับจึงรอดตายหวุดหวิด เขาระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นฝีมือของคู่กรณีที่เป็นมาเฟียผู้มีอิทธิพล พัวพันกับธุรกิจใต้ดิน บ่อนการพนันย่านเตาปูน

ต่อมาในปี 2550 พ.ต.ท.สันธนะ ลงสมัครชิงเ ก้าอี้ ส.ส.กทม.เขต 5 ในนามพรรคประชากรไทย แต่ก็สอบตกเช่นเคย

ว่ากันไปแล้ว “รองต่อ” นั้นแวะเวียนเข้าสู่ยุทธจักรนักเลงเมืองหลวงมาตั้งแต่เป็นสารวัตร ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง มีเพื่อนฝูงอยู่ในวงการพนันและธุรกิจกลางคืนจำนวนมาก เมื่อออกจากราชการจึงเข้าไปอยู่ในวงการเต็มตัว คนในแวดวง ม้า มวย หวย บ่อน รู้จักมักคุ้นกับ “รองต่อ” เป็นอย่างดีในฐานะ “คนรับเคลียร์” ให้แก่ “ธุรกิจสีเทา”

เรียกว่า ที่ไหนมีการเล่นได้เสีย รองต่อก็จะเข้าไปมีบทบาท ไม่ว่าเป็นสนามม้า ทั้งสนามไทยสนามฝรั่ง เซียนม้าและโต๊ดเถื่อนต้องซูฮก ไม่อยากจะยุ่งด้วย รวมถึงกาสิโนบริเวณตะเข็บชายแดน ไม่ว่าจะเขมร พม่า รองต่อก็คลุกวงในแทบทุกแห่ง และเป็นที่รับรู้กันว่า ที่รองต่อมีฐานะทุกวันนี้ก็เพราะทำธุรกิจพาคนไปเล่นพนันในบ่อนกาสิโนต่างประเทศ

เมื่อปี 2552 เขาเคยแพร่บารมีไปยังภาคเหนือ เขตพื้นที่สีเทาสามเหลี่ยมทองคำจังหวัดเชียงราย แต่ก็ถูกเจ้าถิ่นเตะสกัด ที่สุดถูกตำรวจ สภ.เชียงแสนเข้าจับกุมพร้อมลูกน้องรวม 8 คน โดย พ.ต.อ.สุธรรม ชาติอาสา ผู้กำกับการ สภ.เชียงแสน ระบุว่า พ.ต.ท.สันธนะและพวก มีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพลข่มขู่ รีดไถคนที่เข้าไปเล่นการพนันฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่

ขณะที่ “รองต่อ” แย้งว่าที่เข้ามาเพราะได้รับแจ้งว่าเจ้าหน้าที่รัฐกระทำมิชอบ เปิดให้มีการเข้า-ออก หลังเวลาปิดด่านพรมแดน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักพนันที่ไปเล่นในบ่อนกาสิโนของวุฒิสภาคนหนึ่ง และที่ปรึกษารัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง

จากนั้นได้เข้าร้องเรียนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ตรวจสอบบิ๊กตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ฉายา “ติ๋ง ตม.” ที่มีพฤติกรรมอำนวยความสะดวกนักพนันที่ไปเล่นในกาสิโนประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ต้องมีเอกสารใดๆ แค่นั่งรถ VIP ที่จัดให้ก็สามารถผ่านออกไปได้อย่างสบายแม้จะเลยเวลาเปิดด่านแล้วก็ตาม

เพราะเดินอยู่ในยุทธจักรนักเลงมาอย่างโชกโชน การถูกจับกุมครั้งนั้นจึงไม่สามารถหยุดเขาได้ “รองต่อ” ยังคงคลุกวงในอยู่ในธุรกิจสีเทา พร้อมๆ กับออกมาเคลื่อนไหวในแง่มุมต่างๆ แสดงบทบาทขุดคุ้ยข้อมูลเบื้องลึก เบื้องหลังของคดีดังๆ รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น อย่างขบวนการไซฟ่อนเงินจากการทุจริตไปยังฮ่องกง หรือแม้แต่คดีดังอย่างการฆ่ายกครัว 8 ศพ “ผู้ใหญ่บัติ” นายวรยุทธ สังหลัง ที่ จ.กระบี่

เมื่อปี 2551 ขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังเคลื่อนไหวไม่ยอมรับรัฐบาลที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.สันธนะ ได้โผล่เข้ามาร่วมชุมนุม โดยเฉพาะช่วงที่มีการเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ จนสังคมเข้าใจผิดว่า “รองต่อ” เป็นแกนนำคนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดๆ กันมาก่อน ทว่า ในที่สุด พ.ต.ท.สันธนะก็ถูกตั้งข้อหาพ่วงมาเป็นแนวร่วมพันธมิตรฯ ในคดีดังกล่าว ซึ่งจนถึงขณะนี้บรรดาพันธมิตรฯ ก็ยังงงๆ ว่า “มายังไง” เพราะถามไถ่ตื้นลึกหนาบ้างก็ยังไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของ พ.ต.ท.สันธนะว่ามาจาก “สายไหน”

สำหรับความเป็นมาของตลาดก่อนหน้าที่ พ.ต.ท.สันธนะจะเข้ามา มี “เฮียเบิ้ม” เป็นผู้บริหารหลังจาก ฮียเส็ง” ถูกตรวจสอบพบว่าบริหารมีปัญหา แอบเอาเงินของบริษัทไปเปิดตลาดอีกแห่งที่ย่านพระราม 2 แต่เกิดขาดทุน “เฮียเบิ้ม” จึงได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการตลาดเข้ามาบริหารได้ประมาณ 3-4 ปี ต่อมาเมื่อ 3 ปี ที่แล้ว “เฮียเส็ง” ได้ใช้บริการ “รองต่อ” จนสามารถยึดอำนาจบริหารกลับคืนมา โดยฝ่ายคณะกรรมการบริหารตลาดก็ยินยอม “เฮียเส็ง” จึงกลับมาบริหารตลาด และไม่มีใครกล้ายุ่ง เพราะมี “รองต่อ” เป็นที่ปรึกษาบริษัท

นอกจากนี้ ตลาดใหม่ดอนเมืองยังได้ประกาศยกเลิกจ่ายเงินใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบ จนไม่มีหน่วยงานไหนกล้าเข้าไปยุ่งเพราะรู้พิษสงและคอนเนกชั่นของขาใหญ่ตลาดใหม่ดอนเมืองเป็นอย่างดี พ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายในตลาดต่างก็เบาใจที่ขายของสุ่มเสี่ยงผิดกฏหมายได้สะดวก โดยไม่มีใครกล้ายุ่ง

กับกรณีตลาดใหม่ดอนเมือง พ.ต.ท.สันธนะยืนยันว่าไม่ได้เป็นมาเฟียเก็บส่วย และเงินที่ได้จากพ่อค้าแม่ค้าคือเงินค่าส่วนกลาง

“หากตำรวจคิดว่าผมเป็นมาเฟีย ก็ให้เจ้าของร้านค้าเดินมาชี้ระบุเลยว่า รองต่อ สันธนะ ประยูรรัตน์ เป็นคนเก็บเงิน แล้วให้ตำรวจมาจับดำเนินคดีได้เลยกำลังรออยู่ผมเองไม่รู้สึกกลัว ปปง. เพราะไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วดูสภาพอย่างผม ต้องไปเดินเก็บเงิน แบบนั้นมั้ย ดังนั้นหาก ต้องการที่จะสอบสวน ควรพูดให้ชัดไปเลย”

อย่างไรก็ดี การออกมาแบบทะเล่อทะล่าจนถึงขั้น “เสียรูปมวย” ของ พ.ต.ท.สันธนะในครั้งนี้ ดูเหมือนว่า นอกจากจะ “แพ้ราบคาบ” ทั้งถูกแจ้งความดำเนินคดี และยังอาจกระทบกับการเปิดบริการของตลาดใหม่ดอนเมือง แหล่งรายได้สำคัญของเขา ทั้งๆ ที่ถ้าปล่อยให้เรื่องเงียบ เพียงแค่ 1-2 สัปดาห์ หรือไม่เกิน 1เดือน ตลาดใหม่ดอนเมืองก็น่าจะกลับมาทำการค้าขายตามปกติได้

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นอยู่ตรงที่การทำ “เพื่อน พ้อง น้อง พี่” ไม่มีใคร่คบค้าสมาคมกับอดีตนายตำรวจรายนี้อีกต่อไป และถึงขั้นตัดญาติขาดมิตรกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะหลังจากที่ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกโรงตำหนิพฤติกรรมเปรี้ยงลงไปว่า “ใช้ไม่ได้”

“ พฤติกรรมแบบนี้รับไม่ได้ ตำรวจเองก็รับไม่ได้ และเท่าที่ตรวจสอบได้รับรายงานมาประวัติของ พ.ต.ท.สันธนะก็ไม่ค่อยดีนัก ฉะนั้น เราอย่าไปขยายความให้กับเขาที่อาจจะคิดในมุมที่อาจจะไม่ค่อยสนใจในกฎระเบียบ ซึ่งผมรู้สึกเสียดายในความที่เขาเคยเป็นตำรวจมาด้วยซ้ำไป กิริยาอาการท่าทางมันไม่ได้ และเห็นว่ามีคดีอยู่ 6-7 คดี การยิ่งพูด อาจยิ่งทำให้มีคดีมากขึ้น ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ดูถูกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและองค์กรตำรวจ ซึ่งการที่ผมพูดออกไปเดี๋ยวก็จะมาดูถูกผมอีก ทั้งนี้ อะไรก็ตามที่พ.ต.ท.สันธนะอ้ างว่ากุมความลับของคนนั้นคนนี้มาบอก ขอให้ส่งมาให้ผม ความลับที่ว่านั้นคืออะไรจะให้ผู้ที่ถูกกล่าวหา มาชี้แจงว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ก็โดนอีกต้องตรวจสอบข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจน”

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ในวันที่เดินทางไปเยือนถิ่นเซราะกราวของ “บิ๊กเน-นายเนวิน ชิดชอบ” พร้อมกับ บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา หลังจาก พ.ต.ท.สันธนะโชว์พาวฯ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2561ด้วยการออกมาประกาศ ขู่ขอคุยกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ โดยประกาศให้เวลา 30 นาที ต้องโทรมาเคลียร์ ถ้ายังเฉยจะแฉข้อมูลเบื้องหลัง ตร.บุกค้นตลาดใหม่ดอนเมือง ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ก็โทรศัพท์กลับมาจริง ทว่า หลังจาก ผบ.ตร. โทรกลับมาหา พ.ต.ท.สันธนะ แล้ว ตัว พ.ต.ท.สันธนะมีอาการเสียงสั่นและนิ่งไปชั่วครู่

และซ้ำอีกดอกจาก “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร ที่ไม่เพียงตอกหน้าว่า “ไร้เครดิต” ท้าให้เปิดหลักฐานเรื่องลึกลับ “นายพล คสช.” ว่าอย่าเพียงพูดลอยๆ แล้ว ยังสั่งการให้สอบพฤติกรรม พ.ต.ท.สันธนะว่าเข้าข่าย “ผู้มีอิทธิพล” ด้วยหรือไม่

“ขอถามว่าเป็นรัฐมนตรีคนใดที่สั่งการ เป็นผมหรือ ซึ่งผมจะไปสั่งได้อย่างไร เพราะยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย และยืนยันว่าส่วนตัวไม่ได้รู้จักกับพ.ต.ท.สันธนะ ซึ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการตรวจสอบว่ามีหลักฐานอะไรที่จะเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่”

ฟังน้ำเสียงของ “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ก็รับรู้ได้ว่า “เดือด” แค่ไหน และคาดหมายถึงชะตากรรมของ พ.ต.ท.สันธนะนับจากนี้ได้เป็นอย่างดี

ต่างจากท่าทีของ “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ ซึ่งต้องถือว่าแปลก เพราะ “สวนกระแสหลัก” แบบงงกันทั้งแวดวงสีกากี ด้วยการออกปากว่า พ.ต.ท.สันธนะไม่เข้าข่าย “ผู้มีอิทธิพล” ซึ่งทำให้ถูกมองไปในทิศทางดียวกันว่าจะกระทบชิ่งไปถึง “บิ๊กแป๊ะ” หรือไม่ ด้วยความลึกๆ ว่าจะสามารถแซะเก้าอี้ ผบ.ตร.มานั่งก่อนเกษียณอายุราชการในปี 2562

ขณะที่ตัว พ.ต.ท.สันธนะเองก็ดูเหมือนว่า ยิ่ง “ดิ้น” ก็ยิ่ง “ออกทะเล” โดยเฉพาะเมื่อทำเป็นขึงขังด้วยการเดินทางมาขอเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อยื่นเอกสารหลักฐานสำคัญที่พบว่าบุคคลในรัฐบาลทุจริต ทว่า เมื่อถึงเวลาเข้าจริงก็ไม่ได้ยื่นเอกสารใดๆ โดยอ้างว่า เป็นเอกสารสำคัญไม่ได้นำติดตัวมา และถ้าหากนายกฯ อยากจะได้ข้อมูลจริง ขอให้ส่งทหาร 2 คน รถ 1 คัน และคนติดตามของตนเองรวม 5 คน ขับรถไปนำเอกสารลับดังกล่าวมาให้นายกฯ

ถึงตรงนี้ ต้องบอกว่า วันนี้ “สภาพ” ของ พ.ต.ท.สันธนะ “ร่อแร่” เต็มที เพราะเป็นการต่อสู้ที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว และไม่มีความน่าเชื่อถือหลงเหลืออีกแล้ว แถมสืบไปสืบมาก็ได้รับคำยืนยันแล้วว่า ไม่น่าจะมี “ใคร” หนุนหลังในการออกมาท้าชนตำรวจในครั้งนี้ เป็นเพียงการทำหน้าที่ “ผู้คุ้มครองตลาด” เพื่อให้สมกับค่าจ้างที่ได้รับ รวมถึงน่าจะเป็น “การสร้างราคา” ให้กับตัวเองเท่านั้น

หรือถ้าเคยมี(บ้าง) นับจากนี้ก็ได้ถูกตัดหางปล่อยวัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น ถ้าจะกล่าวว่า พ.ต.ท.สันธนะเดินเกมพลาดครั้งใหญ่และสุดท้ายกลับกลายเป็นการทำตัวเองให้เป็น “โมฆะบุรุษ” ก็คงจะไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก ซึ่งนั่นหมายความว่า เส้นทางในธุรกิจสีเทาอันรุ่งโรจน์ของเขาน่าจะยุติลงภายในเวลาอันไม่ช้านี้เช่นกัน




กำลังโหลดความคิดเห็น