เปิดผ้าม่านกั้งสัปดาห์นี้...สงสัยคงต้องบินกลับมาเปิดเล้าไก่ ดูอะไรต่อมิอะไรในบ้านเรากันซะหน่อย หลังจากร่อนไป-ร่อนมา อะราวนด์ เดอะ เวิลด์ ไปซะนาน และถึงแม้ไม่อยากกลับมาจิก มาตี กะใครเขา แต่ทำไงได้...ในเมื่อช่วงหลังๆ มานี้ รัฐบาลท่านเข็น “รถสูบส้วม” ออกมาดูดโน่น ดูดนี่ ซะจน “กระบวนการปฏิรูป” ทำท่าว่าจะกลายเป็น “กระบวนการปฏิกูล” หนักยิ่งขึ้นทุกที จะมัว “อมสากกะเบือ” เอาไว้เฉยๆ คงไม่ถึงกับเข้าท่ามากมายซักเท่าไหร่นัก...
คือกระบวนการดูดไป-ดูดมานั้น...อันที่จริงก็คงต้องยอมรับนั่นแหละว่า ถือเป็น “กรรมวิธีทางการเมือง” ที่ตั้งอยู่บน “ข้อเท็จจริงทางการเมือง” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ โดยเฉพาะ “การเมืองไทย” ที่ก่อรูป ก่อร่างขึ้นมาบน “ระบบอุปถัมภ์” ตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะดูดกันในแบบไหน อย่างไร มันจึงมัก “ได้ผล” ซะทุกทีไป และทำให้ “เจ้าพ่อแห่งการดูด” อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” จึงสามารถผงาดขึ้นมาครองอำนาจได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และทำให้ระบอบประชาธิปไตยตามวิถีทางรัฐสภากลายสภาพไปเป็น “ระบอบทักษิณ” หรือเป็น “ระบอบเผด็จการรัฐสภา” ได้อย่างชนิดสมบูรณ์แบบ...
ไม่ว่ากลุ่มปลาไหลใส่สเก็ต กลุ่มสุโขทัยเรียงหิน กลุ่มซุ้มมือปืนนครปฐม กลุ่มบ้านริมน้ำ หรือกลุ่มฉลามชล ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เคยถูก “ทักษิณ” ดูดแล้ว ดูดอีก มาด้วยกันทั้งสิ้น กระทั่ง “อดีตทหาร” ที่เคยได้ชื่อฉายาว่า “ขงเบ้งแห่งกองทัพบก” อย่าง “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” นั่นไม่ใช่แค่ดูดเฉยๆ แต่ต้องเรียกว่า...หนักไปทาง “สวาปาม” หรืองาบเอาพรรคทั้งพรรคเข้ามาอยู่ภายใต้เครือข่าย ชายคา จนทำให้ “ระบอบทักษิณ” แข็งแกร่ง คงทน ชนิดแทบไม่ต้องสนใจ “ฝ่ายค้านในสภาฯ” เอาเลยแม้แต่นิด เหลือแต่ “ฝ่ายค้านนอกสภาฯ” ที่เผอิญดูดไม่ติด หรือลืมดูดไปในบางช่วง บางระยะ เลยกลายมาเป็น “กุญแจสำคัญ” ในการโค่นล้ม “ระบอบทักษิณ” ไม่ว่าตั้งแต่ครั้ง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” หรือ “กปปส.” ก็ตามแต่...
การที่ “อดีตทหาร” อย่างนายกฯ “บิ๊กตู่”...โดยจะได้รับการเสนอแนะจาก “ป๋าดัน สมคิด” หรือจากใครต่อใครก็แล้วแต่ ให้หันมาใช้ “กรรมวิธี” เดียวกัน หรือคล้ายๆ กันกับ “ทักษิณ” จึงไม่ได้ถือเป็นเรื่อง “ผิด” โดยเฉพาะถ้ามองจาก “ข้อเท็จจริงทางการเมือง” เป็นหลัก แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากนำเอาเรื่องแนวคิด อุดมการณ์ อุดมคติทางการเมือง มาผนวกรวมเข้าไปด้วย ไม่ว่าเป็นกลุ่มอำนาจทางการเมืองใดๆ ก็แล้วแต่ เรื่องของ “กรรมวิธีทางการเมือง” กับ “เป้าหมายทางการเมือง” ของแต่ละกลุ่ม แต่ละฝ่ายนั้น มันคงไม่อาจแยกขาดออกจากกันได้แบบคนละเรื่อง คนละม้วน หรือควรเป็นอะไรที่ควรจะสอดคล้อง ต้องกัน พอไปด้วยกันได้ ไม่ถึงกับขัดแย้ง แปลกแยก ระหว่างกันและกันจนเกินไปนัก...
ด้วยเหตุนี้...การที่ “คนดี” หรือคนที่อยากให้ใครต่อใครเห็นว่าตัวเองใฝ่ดี ถึงขั้นต้องงัดเอา “ค่านิยม 12 ประการ” มาป่าวประกาศเอาไว้ตั้งแต่แรก ดันต้องหันไป “ดูดปลาไหล” “ดูดมือปืน” “ดูดฉลาม” ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ โดยไม่ได้รู้สึกอยากจะบ้วนปาก เช็ดปากเอาเลยแม้แต่น้อย มันก็เลยออกจะเป็นอะไรที่ผะอืดผะอมในความรู้สึกของใครต่อใครอยู่พอสมควร คล้ายๆ แบบที่เรียกๆ กันว่า การเอา “ขี้” มาผสมกับ “ข้าว”อะไรประมาณนั้น แม้พยายามเขี่ย “ขี้” ออกจาก “ข้าว” ซักเท่าไหร่ แต่มันคงหนีไม่พ้นต้องออกอาการรากเขียว รากเหลือง หรืออยาก “อ้วก” ขึ้นมาจนได้ แม้จะเป็น “ข้อเท็จจริงทางการเมือง” ก็เถอะ...
ดังนั้น...สำหรับแนวโน้มทางการเมืองในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะโชติช่วงชัชวาลด้วยโครงการ “EEC” ด้วยการกวาดซื้อทุเรียนไทยโดย “แจ็ค หม่า” หรือด้วยการ “ปฏิรูปปลาร้า” ฯลฯ แบบไหน อย่างไร ก็ตามที แต่มันน่าจะเป็นการเมืองที่ยังคงต้องเผชิญหน้ากับปัญหา “ความชอบธรรมทางการเมือง” ไปโดยตลอด อันเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่าง “เป้าหมาย” กับ “กรรมวิธี” ที่มันออกจะเป็นคนละเรื่อง คนละม้วนอย่างมิอาจปฏิเสธได้ และการประคับประคองสิ่งที่เรียกว่า “ความชอบธรรมทางการเมือง” ให้ดำรงคงอยู่อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ โอกาสที่มันจะเกิด “อุบัติเหตุ” อันเนื่องมาจากการสั่งสมความไม่พอใจ ไม่เข้าใจ จากความไม่ชอบธรรมทั้งหลาย จนนำไปสู่สิ่งที่พวกฝรั่งเค้าเรียกว่า “The Tipping Point” หรือ “จุดหักเห” “จุดพลิกผัน” อะไรประมาณนั้น จึงมีความเป็นไปได้มิใช่น้อย ส่วนมันจะแสดงออกมาในรูปใด แบบใด อันนั้น...คงต้องไปติดตามกันอีกที...
และที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า...สำหรับ “จุดหักเห” หรือ “จุดพลิกผัน” ของสังคมไทยในอนาคตข้างหน้านี้...คงต้องผิดแผกแตกต่างออกไปจากอดีตเท่าที่มันเคยมีมาอยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะด้วยสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไป วัน-เวลาที่เปลี่ยนไป รวมทั้งการ “เก็บรับบทเรียน” จากช่วงที่มันเคยพลิกๆ ผันๆ มาแล้วหลายครั้ง มันจึงอาจไม่ใช่แค่ก่อให้เกิด “14 ตุลาฯ รอบใหม่” หรือ “พฤษภาทมิฬรอบใหม่” ฯลฯ เท่านั้น แต่มีสิทธิ “ไปไกล” ถึงระดับ “พรูควั่งถั่งนรกแลสวรรค์” เอาเลยก็ไม่แน่ โดยเฉพาะ...ถ้ามองถึงความพยายามก่อรูปก่อร่างแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งกำลังถูกนำเสนอให้เป็น “ทางออก” “ทางไป” หรือ “ทางรอด” ของสังคมไทย ให้พ้นไปจากการหมุนวนซ้ำไป-ซ้ำมา ตลอดเกือบร่วมศตวรรษเข้าไปแล้ว เพียงแต่ว่า...แนวคิดที่ว่ามันยังไม่ถึงกับ “ตกผลึก” พอที่จะทำให้เห็นภาพชัดๆ ว่าจะไปสู่ “สวรรค์” หรือ “นรก” กันแน่!!! แต่ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างยังถูกสั่งสมต่อไปในสภาพเช่นนี้เรื่อยๆ “The Tipping Point” ของประเทศไทยในวันข้างหน้า อาจเป็นอะไรที่น่าตกตะลึงพรึงเพริด หรือเป็นอะไรที่ “คาดไม่ถึง” เอาเลยก็เป็นได้...