xs
xsm
sm
md
lg

ควันสงครามครั้งใหม่ในตะวันออกกลาง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท

นายดมิตรี โรโกซิน รองนายกรัฐมนตรีของรัสเซีย
เพื่อให้ไม่ต้องปวดหัวกับ 6 คำถามของ “บิ๊กตู่”...วันนี้ เลยคงต้องเตลิดเปิดเปิงไปแถวๆ ตะวันออกกลางกันอีกนั่นแหละทั่น แต่ก็นั่นแหละ...สำหรับพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ศูนย์กลางแห่งความขัดแย้งทางยุทธศาสตร์ของโลกอย่างตะวันออกกลางช่วงนี้ ไปๆ-มาๆ มันอาจจะน่า “บวดหัว” ยิ่งกว่าเจอกับคำถาม 6 ข้อของ “บิ๊กตู่” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ชนิดไม่ว่ายา “บวดหาย” ยา “ประสระบอแรด” หรือยา “ทัมใจ” ต่างไม่น่าจะเอาอยู่ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

คือถ้าสรุปโดยภาพรวม ภาพกว้างๆ ความพยายามอาศัยพื้นที่ประเทศซีเรีย เป็นหัวหอกบุกทะลวงเจาะกำแพงอิหร่าน เพื่อที่จะนำไปสู่ “การปฏิรูปทั่วทั้งตะวันออกกลาง” ตามยุทธศาสตร์ดั้งเดิมของพวก “นีโอ-คอน” (Neo-Conservative) หรือพวก “ขวาใหม่” ในอเมริกา อิสราเอล รวมทั้งซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรในประเทศกลุ่มอ่าวนั้น มาถึง ณ ขณะนี้...คงต้องเรียกว่า ถือเป็น “การพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์” ไปแล้วแบบโดยสิ้นเชิง ยุทธศาสตร์ที่ว่านี้เคยได้รับการเปิดเผยโดย “นายดมิตรี โรโกซิน” (Dmitry Rogozin) ตัวแทนรัฐบาลรัสเซียที่ถูกส่งไปแลกเปลี่ยนความคิดกับผู้บริหารองค์การนาโต เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2011 แล้วนำมาสรุปให้หนังสือพิมพ์ “อิสเวสเทีย” (Izvestia) ของรัสเซีย ประดับความรู้เอาไว้โดยคร่าวๆ ประมาณว่า... “เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาจะไม่ได้หยุดยั้งอยู่เพียงแค่กรณีลิเบีย (อาหรับสปริง)เท่านั้น แต่ซีเรียและเยเมนจะเป็นเป้าหมายรายต่อไป ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะพุ่งเป้าไปยังอิหร่าน ห่วงที่ล้อมรอบอิหร่านกำลังถูกกระชับให้แน่นขึ้น แผนปฏิบัติการทางทหารต่อประเทศนี้ กำลังดำเนินไปอย่างจริงๆ จังๆ และเรา (รัสเซีย) ควรที่จะให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษ สำหรับความพยายามยกระดับสถานการณ์เหล่านี้ ไปสู่การก่อสงครามขนาดใหญ่ทั่วทั้งภูมิภาค...”

และด้วย “ความสนใจอย่างเป็นพิเศษ” ของรัสเซียนั่นเอง...ที่สามารถพลิกสถานการณ์นำไปสู่ความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ของบรรดาผู้มีแนวคิดทำนองนี้ เมื่อรัฐบาลซีเรียตัดสินใจเชื้อเชิญให้กองทัพรัสเซีย อิหร่าน ไปจนถึงกลุ่มนักรบอย่างฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ให้เข้ามาร่วมยำมือ ยำตีน “ผู้ก่อการร้าย” ไม่ว่าจะสายกลาง สายตึง สายหย่อน จนไปไม่ได้ ไปไม่เป็น หมดสภาพที่จะนำมาใช้เป็น “เครื่องมือ” ตามแนวคิดยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้อีกต่อไปแล้ว แต่ก็นั่นแหละ...แทนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้แบบผู้ที่มีจิตใจเป็นนักกีฬาทั้งหลาย ไม่ว่าอเมริกา อิสราเอล ตลอดไปจนซาอุฯ ต่างเริ่มออกอาการประเภท “บอลแพ้-แต่คนไม่แพ้” หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่ว่าๆ เอาไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั่นแหละว่า...ทั้งๆ ที่กบฏเยเมน เคยยิงจรวดถล่มซาอุฯเพื่อล้างแค้น เอาคืนมาแล้วไม่รู้จะกี่เที่ยว ต่อกี่เที่ยว ยิงใส่สนามบิน “King Salman” ใส่โรงกลั่นน้ำมัน “Aramco” ตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนกลางปีนี้ ก่อนที่จะถล่มสนามบิน “King Khalid” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ก็กลับถือเป็นครั้งแรก...ที่รัฐบาลซาอุฯ โดยมกุฎราชกุมาร “MbS” ออกมากู่ก้องร้องตะโกนกล่าวหาอิหร่าน ถึงขั้นว่ากำลัง “รุกรานทางทหารโดยตรงต่อราชอาณาจักรซาอุฯ” ถึงขั้นนั้น...

รวมทั้งการอาศัยการประกาศลาออกของนายกรัฐมนตรีเลบานอน “นายซาอัด อัล-ฮาริรี” (Saad al-Hariri) ขณะที่กำลังเดินทางไปเยือนซาอุฯ ด้วยการ “ป้ายขี้” ไปที่อิหร่าน ในฐานะผู้สนับสนุนขบวนการฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ว่ากำลังคุกคามคิดเอาชีวิตของตัวเองเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยขณะนี้ก็ยังไม่รู้หมู่ รู้จ่า ว่าตัวเองนั้นถูกจับ ถูกกักตัว ถูกบังคับให้ลาออกและบังคับให้ป้ายขี้ผู้อื่น โดยสมัครใจ-ไม่สมัครใจ หรือไม่ อย่างไร แต่ส่งผลให้เกิดบรรยากาศความตึงเครียดแห่งความพยายามที่จะกวาดล้างเล่นงานขบวนการฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ที่จะกระทบชิ่งไปถึงอิหร่านอีกต่อหนึ่ง อุบัติขึ้นมาอย่างชนิดน่าขนหัวลุกมิใช่น้อย ระดับไม่ว่ารัฐบาลซาอุฯ คูเวต ไปจนถึงยูเออี พันธมิตรกลุ่มประเทศอ่าว ต้องออกแถลงการณ์เตือนให้บรรดาพลเมืองของตัวเอง ไม่ว่าที่กำลังอยู่ หรือกำลังคิดเดินทางไปยังเลบานอน ให้สลายตัวรีบปิ๊กบ้านกันโดยทันที...

งานนี้...ก็เลยไม่ต่างอะไรไปจากบรรยากาศการเผชิญหน้ากับพวก “ฮูลิแกน” หลังบอลเลิกแล้วนั่นเอง คือมีสิทธิที่จะเกิดการจุดพลุ เผาเก้าอี้ เผาสนาม ไล่เสียบ ไล่แทงแฟนบอลฝ่ายตรงกันข้ามได้ทุกเมื่อ เพราะก่อนหน้านั้น...เครื่องบินโจมตีของอิสราเอลก็ยิงจรวดถล่มเขตพื้นที่รอยต่อระหว่างซีเรียกับเลบานอนมาแล้วหลายครั้ง หลายหน ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อสกัดกั้นขบวนขนอาวุธจากอิหร่านเข้าไปสนับสนุนพวกฮิซบอลเลาะห์ โดยไม่ได้สนใจต่อ “อธิปไตยของซีเรีย” เอาเลยแม้แต่นิด พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าต่างฝ่ายต่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่ หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมการจลาจลเกิดด้อยประสิทธิภาพขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่จะลุกลามบานปลาย กลายเป็นการ “จุดชนวนสงครามใหญ่” หรือ “สงครามระดับทั่วทั้งภูมิภาค” ย่อมสามารถเป็นไปได้ทุกเมื่อ...

อย่างไรก็ตาม...เท่าที่สังเกตกิริยาอาการของ “ตำรวจโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ยังไม่น่าถึงขั้น “หลวมตัว” กระโจนเข้าสู่แรงดึงดูดวังวนแห่งสงคราม ที่ทั้งซาอุฯ และอิสราเอลพยายามฉุดกระชากลากถูอภิมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลก ให้เข้ามาเล่นไพ่ใบนี้กันง่ายๆ คือแค่เจอกับ “คิมน้อย” ก็เล่นเอาคุณพ่ออเมริกาท่านต้องปวดหัววันละ 3 เวลาหลังอาหาร มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ยิ่งถ้าย้อนกลับไปฟังคำเตือนของอภิมหานักยุทธศาสตร์ผู้เพิ่งวายชนม์ไปไม่นาน อย่าง “นายซามูเอล ฮันติงตัน” (Samuel Huntington) ที่แม้จะเป็นอเมริกันเชื้อสายยิวก็ตาม แต่ก็ได้พยายามเตือนๆ บรรดาผู้นำอเมริกาไว้ในหนังสือเรื่อง “ความขัดแย้งทางอารยธรรม” (The Clash of Civilization and The Remaking of World Order) แบบตรงไป-ตรงมาประมาณว่า... “เราทั้งหลาย (อารยธรรมตะวันตก) ต้องการการไตร่ตรองอย่างสุขุม ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ กับปัจจัยเหล่านี้ (การปะทะทางอารยธรรมระหว่างตะวันตกกับอิสลามที่มีจีนเป็นพันธมิตร) เราจะต้องใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ว่าเราต้องการที่จะควบคุมโลกอิสลามทั้งมวลเอาไว้หรือไม่ และการสนับสนุนช่วยเหลือของเราต่อนโยบายการขยายตัวของอิสราเอล จะทำให้เราต้องตกอยู่ในหลุมพรางแห่งการเผชิญหน้ากับผู้คนที่มีจำนวนปริมาณถึง 1 ใน 5 ของโลกกันเลยหรือเปล่า...”
กำลังโหลดความคิดเห็น