"พัลลภ"เตือน"บิ๊กตู่" ปรับครม. อย่าให้อำนาจบังตา "วีระ" แฉ คสช. เดินหน้ายุทธศาสตร์ชิงมวลชน-อดีตนักการเมือง ระวังประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ด้านปชป. ชง 3 แนวทางในการปรับ ชี้เลือกคนเหมาะกับงานมากกว่าพวกพ้อง ให้รัฐมนตรีทหารไปพักผ่อนได้แล้ว "สุริยะใส" หนุนปรับใหญ่ เป็นของขวัญปีใหม่ประชาชน
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) กล่าวถึงการปรับครม.ว่า จะขอดูการตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งการปรับครม. ควรคิดเรื่องงานของประเทศชาติมากกว่าเพื่อนรัก รู้ใจ ต้องรอดูว่านายกฯ จะย้ายเพื่อนรัก ไปไว้กระทรวงไหน ก่อนหน้านี้พอโดนด่าจากกระทรวงนี้ ก็สลับไว้กระทรวงนู้น ไปอยู่ไหนก็ทำงานไม่ได้ หากเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง ให้พักไปแล้ว
"รอดูไปสักนิดว่าชาวบ้านทนอยู่ใต้กระบอกปืนได้ มีลิมิตถึงวันนั้น ก็น่ากลัว ใจผมอยากเห็นประเทศมีความมั่นคง ประชาชนอยู่สันติสุข เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจมานาน จนมาทำการเมือง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เห็นทุกวันศุกร์ออกมาอบรมประชาชนเหมือนพูดฝึกทหารใหม่ ยืนหยัดพูดมา 3-4 ปี ชาวบ้านก็ปิดทีวีกันหมด จะฝึกประชาชนให้เหมือนทหารไม่ได้ เห็นท่านนายกฯ เป็นรุ่นน้อง ผมไปเตือน ก็โกรธผม เมื่อสองเดือนที่แล้วถามว่า จะเป็นนายกฯ คนนอกอีกหรือ เพราะว่าอยู่ 3-4 ปีพอแล้ว อย่ายึดติดอำนาจ จะลำบาก ไม่มีแผ่นดินอยู่ แม้เป็นคนเก่ง ฉลาดอย่างไร ก็หลงเพลินกับอำนาจได้ ยิ่งอยู่นานมันเสพติด ซึ่งสมัย พ.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. คนเดียวอยู่ได้ 4 ปี ซึ่งผมได้บอกน.ส. ยิ่งลักษณ์ ในตอนนั้น ท้วงว่าจะเป็นนานไม่ได้ในตำแหน่งหลัก มันทำลายระบบ เขาก็ไม่ฟัง ให้พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็น ผบ.ทบ.ต่อ และได้มายึดอำนาจ พอมาเป็นรัฐบาล ก็นั่งต่อว่ารัฐบาลที่แล้ว นอกจากนี้อยากเตือนนายกฯ ด้วยว่า อย่าให้อำนาจ มันบังตา เวลานี้เป็นรัฐบาล เอาเพื่อนรักมาก่อนประเทศชาติ ประชาชน ทั้งนี้มองว่าพล.อ.ประยุทธ์ อยากเป็นนายกฯต่อ จึงได้วางยุทธศาตร์ชาติ 20 ปีไว้ ร่างรัฐธรรมนูญให้มี ส.ว. 250 เสียง รวมถึงได้เตรียมพรรคที่อยากเป็นรัฐบาลเสริมทัพไว้แล้ว ตอนนี้พรรคเพื่อไทย เตรียมตัวเป็นฝ่ายค้าน ตนได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย มากับนายทักษิณ ชินวัตร รู้ว่าต้องเป็นฝ่ายค้านก็เป็น เพื่อจะไปทำหน้าที่ในสภา ขัดขารัฐบาลบ้าง ดีกว่าปล่อยฉลุยแบบทุกวันนี้" พล.อ.พัลลภ กล่าว
คสช.เดินหน้าแผนชิงมวลชน
นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก วิจารณ์การบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าการรัฐประหารของคสช. ในที่สุดก็เสียของ ดังนั้นรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อต้องการรักษาอำนาจต่อไป เข้าสู่กับดักของวงจรอุบาทว์อย่างหลีกหนีไม่พ้น แผนการเพื่อเตรียมตัวลงสู่สนามเลือกตั้ง เมื่อ“ระบบปกติ” ไม่สามารถสกัดพรรคเพื่อไทยได้ ก็ต้องหาทางอื่น มีกระแสเล็ดลอดออกมาว่า ตอนนี้ฝั่งคสช. กำลังวางยุทธศาสตร์เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย โดยมี 2 ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ 1. แผนชิงมวลชน ที่เห็นกันล่าสุดเช่น “บัตรผู้มีรายได้น้อย” ที่แจกจ่ายเงิน ให้กับประชาชนผ่านบัตรสวัสดิการ ก่อนหน้านี้รัฐบาลก็มีหลายโครงการ เพื่อเอาใจประชาชน ที่เรียกชื่อใหม่ว่า“โครงการประชารัฐ”
2. แผนชิงส.ส. มีการตั้งพรรคการเมืองชื่อ “พรรคพลังชาติไทย” ขึ้นมา เพื่อเป็นตัวล่อ ดึงอดีตส.ส.จากพรรคเพื่อไทย การทำเช่นนี้ มีลักษณะใกล้เคียงกับการตั้งพรรค“สามัคคีธรรม”ที่เคยเกิดขึ้นหลังยุครสช. เมื่อมีการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2535
ขอเตือนให้ระวังประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เมื่อประชาชนหมดความอดทน จะเกิดการลุกฮือ เพื่อออกมาขับไล่รัฐบาลเผด็จการ …คงจำเหตุการณ์“พฤษภาทมิฬ” กันได้นะ
ปชป.เสนอ 3 แนวทางปรับครม.
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การปรับครม. ว่า เมื่อมีรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะต้องหาบุคคลที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแทนรัฐมนตรีที่ลาออก ทำให้การปรับครม. เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงยาก ถึงแม้ผู้นำรัฐบาลจะไม่อยากปรับก็ตาม เพราะการเอารัฐมนตรีที่เคยทำงานกันมาออกไป ย่อมก่อให้เกิดความไม่สบายใจ ทั้งคนปรับ และคนถูกปรับ ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงกระเพื่อม ไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ดี เมื่อนายกฯ ต้องปรับครม. จึงขอฝากนายกฯ ว่า เพื่อให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ควรปรับกระบวนการทำงานไปพร้อมกันด้วย โดยการปรับครม. ควรดำเนินการบนพื้นฐาน 3 ประการ คือ 1. คัดสรรบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความเหมาะสมกับงานในกระทรวงที่รับผิดชอบอย่างแท้จริง 2. คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตัว หรือประโยชน์ของเพื่อนพ้องน้องพี่แต่เพียงอย่างเดียว และ 3. ปรับทุกกระบวนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ มีการติดตามประเมินผลแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที เน้นเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เชื่อว่าจะทำให้การทำงานของรัฐบาลเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแน่นอน
นายเจริญ คันธวงศ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่จะปรับครม.ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ควรจะปรับให้ดีกว่านี้ และอยากให้นายกฯ ดูในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯ ท่านหาคนเก่งมาทำงานในกระทรวงต่างๆ และจากที่ต่างๆ มาเป็นรัฐมนตรี จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ เอาแนวนี้มาพิจารณาบ้าง เอาคนที่เก่งมาแก้ปัญหา เพราะเวลานี้คนบ่นมากว่าเศรษฐกิจไม่ดี จึงควรเอาคนเก่งว่ามาดูแล ส่วนทหารที่ร่วมรบกันมา ก็เป็นรัฐมนตรีมากว่า 3 ปีแล้ว ก็ขอให้ท่านพักผ่อนได้แล้ว
ขอปรับครม. เป็นของขวัญปีใหม่
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฯ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า ถึงเวลาที่นายกฯ ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ ก่อนประกาศปลดล็อก และกำหนดวันเลือกตั้ง โดยการปรับครม.ทั้งคณะ เพราะในขณะนี้โอกาสกลับมาเข้าทางนายกฯ อีกครั้งแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะมีความกล้าหาญหรือไม่ เพราะนอกจากมีรัฐมนตรีบางคนขอลาออกแล้ว ยังเป็นโค้งสุดท้ายของรัฐบาล ก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
ต้องยอมรับว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมา มีรัฐมนตรีหลายกระทรวงสอบไม่ผ่าน และพิสูจน์พอแล้วว่า การเอาทหารมาเป็นครม. มากเกินไป ไม่ตอบโจทย์ ทำให้ปัญหาพุ่งกดดันไปที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์ เพียงคนเดียว เพราะยังมีต้นทุนมากกว่าคนอื่นอยู่ ที่สำคัญการปรับ ครม.โค้งสุดท้าย ต้องไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวคน หรือย้ายสลับเก้าอี้ แต่ต้องกล้าเปลี่ยนวิธีคิด และมุมมองในการแก้ปัญหาด้วย
โดยนอกจาก รมต. แต่ละคนต้องรับผิดชอบงานในกระทรวงของตัวเองแล้ว ควรบูรณาการกลุ่มงานครม. เพื่อรับผิดชอบปัญหาในแต่ละกลุ่มงาน เช่น กลุ่มงานปฏิรูปประเทศ กลุ่มงานแก้ปัญหาปากท้องเฉพาะหน้า กลุ่มงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ กลุ่มงานปรองดอง สมานฉันท์ เป็นต้น
"อยากให้ถือเอาการปรับ ครม.ครั้งนี้ เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยทั้งประเทศด้วย แต่ถ้านายกฯ มองข้ามโอกาสนี้ไป ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายจนอาจหมดเวลาแก้ตัวไปในที่สุด" นายสุริยะใส กล่าว
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) กล่าวถึงการปรับครม.ว่า จะขอดูการตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งการปรับครม. ควรคิดเรื่องงานของประเทศชาติมากกว่าเพื่อนรัก รู้ใจ ต้องรอดูว่านายกฯ จะย้ายเพื่อนรัก ไปไว้กระทรวงไหน ก่อนหน้านี้พอโดนด่าจากกระทรวงนี้ ก็สลับไว้กระทรวงนู้น ไปอยู่ไหนก็ทำงานไม่ได้ หากเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง ให้พักไปแล้ว
"รอดูไปสักนิดว่าชาวบ้านทนอยู่ใต้กระบอกปืนได้ มีลิมิตถึงวันนั้น ก็น่ากลัว ใจผมอยากเห็นประเทศมีความมั่นคง ประชาชนอยู่สันติสุข เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจมานาน จนมาทำการเมือง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เห็นทุกวันศุกร์ออกมาอบรมประชาชนเหมือนพูดฝึกทหารใหม่ ยืนหยัดพูดมา 3-4 ปี ชาวบ้านก็ปิดทีวีกันหมด จะฝึกประชาชนให้เหมือนทหารไม่ได้ เห็นท่านนายกฯ เป็นรุ่นน้อง ผมไปเตือน ก็โกรธผม เมื่อสองเดือนที่แล้วถามว่า จะเป็นนายกฯ คนนอกอีกหรือ เพราะว่าอยู่ 3-4 ปีพอแล้ว อย่ายึดติดอำนาจ จะลำบาก ไม่มีแผ่นดินอยู่ แม้เป็นคนเก่ง ฉลาดอย่างไร ก็หลงเพลินกับอำนาจได้ ยิ่งอยู่นานมันเสพติด ซึ่งสมัย พ.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. คนเดียวอยู่ได้ 4 ปี ซึ่งผมได้บอกน.ส. ยิ่งลักษณ์ ในตอนนั้น ท้วงว่าจะเป็นนานไม่ได้ในตำแหน่งหลัก มันทำลายระบบ เขาก็ไม่ฟัง ให้พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็น ผบ.ทบ.ต่อ และได้มายึดอำนาจ พอมาเป็นรัฐบาล ก็นั่งต่อว่ารัฐบาลที่แล้ว นอกจากนี้อยากเตือนนายกฯ ด้วยว่า อย่าให้อำนาจ มันบังตา เวลานี้เป็นรัฐบาล เอาเพื่อนรักมาก่อนประเทศชาติ ประชาชน ทั้งนี้มองว่าพล.อ.ประยุทธ์ อยากเป็นนายกฯต่อ จึงได้วางยุทธศาตร์ชาติ 20 ปีไว้ ร่างรัฐธรรมนูญให้มี ส.ว. 250 เสียง รวมถึงได้เตรียมพรรคที่อยากเป็นรัฐบาลเสริมทัพไว้แล้ว ตอนนี้พรรคเพื่อไทย เตรียมตัวเป็นฝ่ายค้าน ตนได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย มากับนายทักษิณ ชินวัตร รู้ว่าต้องเป็นฝ่ายค้านก็เป็น เพื่อจะไปทำหน้าที่ในสภา ขัดขารัฐบาลบ้าง ดีกว่าปล่อยฉลุยแบบทุกวันนี้" พล.อ.พัลลภ กล่าว
คสช.เดินหน้าแผนชิงมวลชน
นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก วิจารณ์การบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าการรัฐประหารของคสช. ในที่สุดก็เสียของ ดังนั้นรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อต้องการรักษาอำนาจต่อไป เข้าสู่กับดักของวงจรอุบาทว์อย่างหลีกหนีไม่พ้น แผนการเพื่อเตรียมตัวลงสู่สนามเลือกตั้ง เมื่อ“ระบบปกติ” ไม่สามารถสกัดพรรคเพื่อไทยได้ ก็ต้องหาทางอื่น มีกระแสเล็ดลอดออกมาว่า ตอนนี้ฝั่งคสช. กำลังวางยุทธศาสตร์เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย โดยมี 2 ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ 1. แผนชิงมวลชน ที่เห็นกันล่าสุดเช่น “บัตรผู้มีรายได้น้อย” ที่แจกจ่ายเงิน ให้กับประชาชนผ่านบัตรสวัสดิการ ก่อนหน้านี้รัฐบาลก็มีหลายโครงการ เพื่อเอาใจประชาชน ที่เรียกชื่อใหม่ว่า“โครงการประชารัฐ”
2. แผนชิงส.ส. มีการตั้งพรรคการเมืองชื่อ “พรรคพลังชาติไทย” ขึ้นมา เพื่อเป็นตัวล่อ ดึงอดีตส.ส.จากพรรคเพื่อไทย การทำเช่นนี้ มีลักษณะใกล้เคียงกับการตั้งพรรค“สามัคคีธรรม”ที่เคยเกิดขึ้นหลังยุครสช. เมื่อมีการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2535
ขอเตือนให้ระวังประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เมื่อประชาชนหมดความอดทน จะเกิดการลุกฮือ เพื่อออกมาขับไล่รัฐบาลเผด็จการ …คงจำเหตุการณ์“พฤษภาทมิฬ” กันได้นะ
ปชป.เสนอ 3 แนวทางปรับครม.
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง การปรับครม. ว่า เมื่อมีรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะต้องหาบุคคลที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแทนรัฐมนตรีที่ลาออก ทำให้การปรับครม. เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงยาก ถึงแม้ผู้นำรัฐบาลจะไม่อยากปรับก็ตาม เพราะการเอารัฐมนตรีที่เคยทำงานกันมาออกไป ย่อมก่อให้เกิดความไม่สบายใจ ทั้งคนปรับ และคนถูกปรับ ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงกระเพื่อม ไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ดี เมื่อนายกฯ ต้องปรับครม. จึงขอฝากนายกฯ ว่า เพื่อให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ควรปรับกระบวนการทำงานไปพร้อมกันด้วย โดยการปรับครม. ควรดำเนินการบนพื้นฐาน 3 ประการ คือ 1. คัดสรรบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความเหมาะสมกับงานในกระทรวงที่รับผิดชอบอย่างแท้จริง 2. คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตัว หรือประโยชน์ของเพื่อนพ้องน้องพี่แต่เพียงอย่างเดียว และ 3. ปรับทุกกระบวนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ มีการติดตามประเมินผลแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที เน้นเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เชื่อว่าจะทำให้การทำงานของรัฐบาลเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแน่นอน
นายเจริญ คันธวงศ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่จะปรับครม.ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ควรจะปรับให้ดีกว่านี้ และอยากให้นายกฯ ดูในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯ ท่านหาคนเก่งมาทำงานในกระทรวงต่างๆ และจากที่ต่างๆ มาเป็นรัฐมนตรี จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ เอาแนวนี้มาพิจารณาบ้าง เอาคนที่เก่งมาแก้ปัญหา เพราะเวลานี้คนบ่นมากว่าเศรษฐกิจไม่ดี จึงควรเอาคนเก่งว่ามาดูแล ส่วนทหารที่ร่วมรบกันมา ก็เป็นรัฐมนตรีมากว่า 3 ปีแล้ว ก็ขอให้ท่านพักผ่อนได้แล้ว
ขอปรับครม. เป็นของขวัญปีใหม่
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีฯ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า ถึงเวลาที่นายกฯ ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ ก่อนประกาศปลดล็อก และกำหนดวันเลือกตั้ง โดยการปรับครม.ทั้งคณะ เพราะในขณะนี้โอกาสกลับมาเข้าทางนายกฯ อีกครั้งแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะมีความกล้าหาญหรือไม่ เพราะนอกจากมีรัฐมนตรีบางคนขอลาออกแล้ว ยังเป็นโค้งสุดท้ายของรัฐบาล ก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
ต้องยอมรับว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมา มีรัฐมนตรีหลายกระทรวงสอบไม่ผ่าน และพิสูจน์พอแล้วว่า การเอาทหารมาเป็นครม. มากเกินไป ไม่ตอบโจทย์ ทำให้ปัญหาพุ่งกดดันไปที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์ เพียงคนเดียว เพราะยังมีต้นทุนมากกว่าคนอื่นอยู่ ที่สำคัญการปรับ ครม.โค้งสุดท้าย ต้องไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวคน หรือย้ายสลับเก้าอี้ แต่ต้องกล้าเปลี่ยนวิธีคิด และมุมมองในการแก้ปัญหาด้วย
โดยนอกจาก รมต. แต่ละคนต้องรับผิดชอบงานในกระทรวงของตัวเองแล้ว ควรบูรณาการกลุ่มงานครม. เพื่อรับผิดชอบปัญหาในแต่ละกลุ่มงาน เช่น กลุ่มงานปฏิรูปประเทศ กลุ่มงานแก้ปัญหาปากท้องเฉพาะหน้า กลุ่มงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ กลุ่มงานปรองดอง สมานฉันท์ เป็นต้น
"อยากให้ถือเอาการปรับ ครม.ครั้งนี้ เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยทั้งประเทศด้วย แต่ถ้านายกฯ มองข้ามโอกาสนี้ไป ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายจนอาจหมดเวลาแก้ตัวไปในที่สุด" นายสุริยะใส กล่าว