**"ยืนยันว่าไม่มี"
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนตัวรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงด้วย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "โอ้โห้ ผมก็พร้อมนะ อยากจะให้ออก คุณจะได้หัวเราะกันอย่างสบาย ผมอยากบอกว่าคนนั่งเขียนข่าว ก็นั่งเขียนอยู่ข้างใน อยากเขียนอะไรก็เขียน ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ผมขอถามหน่อยว่าคุณจะทำอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ หากมันไม่เกิดขึ้น ไม่รับผิดชอบแล้วจะทำอย่างไร ผู้สื่อข่าวคนไหนก็ได้ ตอบผมหน่อย"
"ผมไม่น้อยใจ อายุปาผมเข้าไป 72 ปีแล้ว ผมพร้อมออก อายุขนาดนี้แล้วไม่มีใครทำงานขนาดนี้หรอก ถึงมีก็น้อยมาก ผมก็เสียสละทุกอย่าง" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวยืนยัน เมื่อถูกถามว่าน้อยใจหรือไม่ ที่ตัวเองตกเป็นเป้าอยู่ตลอดเวลา
เป็นการตอบคำถามอย่างมั่นใจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า "ยืนยันว่าไม่มี" เรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี ที่มีข่าวว่าในจำนวนรัฐมนตรีที่อาจถูกปรับออกมีเก้าอี้รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยรวมอยู่ด้วย
**แน่นอนว่าคำพูดที่ย้ำว่า "ไม่มี" ที่ออกมานั้นถ้าไม่ "ใหญ่จริง" ก็ต้องมั่นใจถึงพลังอำนาจของตัวเองสุดๆ เพราะตามอำนาจหน้าที่แล้วคนที่พูดคำนี้ได้ว่าจะปรับหรือไม่ปรับคณะรัฐมนตรี ก็คือ นายกรัฐมนตรีเท่านั้น ซึ่งในที่นี้ก็คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ควบตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อีกด้วย
ดังนั้น การพูดว่า"ไม่มีการปรับ" ก็ต้องบอกว่า "ช่างกล้า" และเจ๋งจริง และการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ย้ำแบบนั้นมันก็พอเข้าใจได้ เพระหากพิจารณาจากสถานะที่เป็นอยู่ "พี่ใหญ่" อย่างเขาย่อมไม่ธรรมดาในเรื่องของ "อำนาจ-บารมี" และถ้าจะบอกว่าเขาคือหนึ่งในผู้ที่ค้ำยันรัฐบาล และอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งคำเรียกขานว่า"พี่ใหญ่" ในกลุ่ม"บูรพาพยัคฆ์" ก็ย่อมมีความหมายในตัวเองอยู่แล้ว
ในวงการรับรู้กันดีอยู่แล้ว "พี่ป้อม" คนนี้มากบารมี มีเพื่อนพ้องน้องพี่มากมายในทุกวงการอำนาจ โดยเฉพาะในกองทัพและวงการตำรวจ นอกจากนี้ยังแผ่เครือข่ายเชื่อมโยงไปวงการธุรกิจ ที่เป็น"ทุนใหญ่" และแน่นอนว่าเมื่อเส้นทางเชื่อมโยงแบบนี้มันก็ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเลยไปถึง"การเมือง" ซึ่งมีเครือข่ายใหญ่โตไม่น้อย
หากพิจารณาจากภาพที่เห็นเฉพาะหน้าสำหรับองคาพยพของกลไกทางการเมืองภายใต้ "อำนาจพิเศษ"ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ที่เพิ่งพ้นสภาพไป มาจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่มีผลบังคับใช้เมื่อไม่นานมานี้ ล้วนมีผลในทางบวกกับเขา หรืออย่างน้อยเขาก็มีส่วนเกื้อหนุนด้านบุคลากรในตำแหน่งสำคัญในองค์กรตามรัฐธรรมนูญเหล่านั้น
ตัวอย่างที่มองเห็นภาพชัดก็คือ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หากพูดกันแบบไม่ต้องอ้อมค้อมก็น่าเชื่อว่าเป็นคนที่อยู่ใน"สายของพี่ใหญ่" คนนี้อยู่ค่อนสภา รวมถึงสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) นี่ก็ใช่อีก ไม่เว้นแม้กระทั่งในองค์กรตรวจสอบอย่างสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่รับรู้กันว่าตำแหน่งประธานป.ป.ช.คนปัจจุบัน ก็มีความมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
**ไม่ต้องพูดถึงในวงการตำรวจที่เวลานี้มีเสียงนินทาถึงเรื่อง "ผบ.ตร.เงา" จาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายที่เคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่วนในกองทัพก็คงไม่ต้องพูดถึง ล้วนเป็น"สายตรง"ได้เต็มร้อย เพราะเส้นทางเติบโตมากันแบบรุ่นต่อรุ่นแบบ"ไร้รอยต่อ" เสียด้วย
ขณะเดียวกันด้วยเส้นทางที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มันก็ทำให้มีการคาดเดาไปจนถึงอนาคตได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเส้นทางในสาย"อำนาจทางการเมือง" หลังการเลือกตั้งตามโรดแมปที่ตัวเองก็มีส่วนกำหนดขึ้นมา มีการคาดการณ์กันถึงเรื่องการเปิดทางให้ "นายกฯคนนอก" ตามกลไกของรัฐธรรมนูญผ่าน"บทเฉพาะกาล" ในเวลา 5 ปี แม้ว่านาทีนี้ยังไม่มีใครกล้า"แบไต๋"ออกมาให้เห็นชัดเจน ซึ่งมันก็ต้องเป็นแบบนั้น เพราะมันละเอียดอ่อนเกินไป
แต่ความเคลื่อนไหวที่มีการจับสัญญาณกันได้ว่ามีความพยายามในการเชื่อมต่อผ่าน "พรรคสีน้ำเงิน" ก็เริ่มมองเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ
**อย่างไรก็ดี แม้ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะมี"จุดแข็ง"ในเรื่องอำนาจและบารมี แต่นั่นก็เป็น"วงใน"ในเครือข่ายพวกเดียวกันเอง ที่ได้รับการยอมรับนับถือ แต่ภาพในทางสังคมภายนอกมันก็น่าเจ็บปวดที่เขากลับถูกมองในทางตรงกันข้าม ด้วยภาพของ"สีเทา" ไม่น่าไว้ใจ พูดตรงๆ ก็คือภาพออกไปทางลบมากกว่าทางบวก แม้ว่าที่ผ่านมาเขาก็คงจะทราบดี และพยายามแก้ไขแต่ก็สลัดไม่หลุด มิหนำซ้ำกลับมีแนวโน้มหนักกว่าเดิมเสียอีก อาจเป็นเครือข่ายคนแวดล้อมรอบตัวที่หลายครั้งมีภาพลักษณ์ออกมาในแบบ"เป็นพิษ" ก็ยิ่งตอกย้ำในตัวตนของ"พี่ใหญ่" ออกมาให้เห็นเป็นรายวัน
ที่ผ่านมาแรงกดดันอาจยังไม่ประดังเข้ามามากนัก แต่เมื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย ยังเหลือเวลาอีกเพียงปีเศษก่อนถึงเวลาการเลือกตั้งใหญ่ตามกติกาใหม่ ทุกอย่างก็เริ่มนับถอยหลัง แรงต้านโดยธรรมชาติจากฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการแย่งชิงพื้นที่ข่าว ฝ่ายการเมืองที่ต้องการแสดงบทบาทเพื่อรองรับการเลือกตั้งก็ยิ่งบีบคั้นเรียกร้อง ประกอบกับความจริงที่ประจักษ์ในเรื่อง"เศรษฐกิจปากท้อง" ที่ยังไม่เข้าเป้า มีเสียงบ่นจากชาวบ้านดังขึ้นเรื่อยๆ มันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องมีการคาดการณ์ไปถึงเรื่องปรับคณะรัฐมนตรีกันอีกครั้ง และเป้าหมายหนึ่งในนั้นก็คือ "พี่ใหญ่" คนนี้ เนื่องจากเขามีบทบาทคุมทั้งหมด ทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจรวมไปถึง"พลังงาน" กลับกลายเป็นว่า จากเดิมที่เคยพยุงรัฐบาลกำลังจะพลิกกลับมาเป็น"ตัวเร่ง" ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น
**อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในความเป็นจริงโอกาสที่เกิดการปลี่ยนแปลง หรือ"ปรับพี่ใหญ่" คนนี้ออกไปมันแทบมองไม่เห็น ด้วยความหมายที่กล่าวมาทั้งหมด แต่หากพลิกเกิดขึ้น มันก็ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่เสียงต่อการเกิดแรงกระเพื่อมตามมา อีกทั้งยังต้องอาศัยความ"กล้าหาญ" อย่างมากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะมันคือ "งานหิน" และอาจมองออกแบบนี้หรือเปล่า ทำให้พูดออกมาอย่างมั่นใจแทนนายกรัฐมนตรีว่า "ยืนยันว่าไม่มีการปรับครม." !!
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนตัวรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงด้วย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "โอ้โห้ ผมก็พร้อมนะ อยากจะให้ออก คุณจะได้หัวเราะกันอย่างสบาย ผมอยากบอกว่าคนนั่งเขียนข่าว ก็นั่งเขียนอยู่ข้างใน อยากเขียนอะไรก็เขียน ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ผมขอถามหน่อยว่าคุณจะทำอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ หากมันไม่เกิดขึ้น ไม่รับผิดชอบแล้วจะทำอย่างไร ผู้สื่อข่าวคนไหนก็ได้ ตอบผมหน่อย"
"ผมไม่น้อยใจ อายุปาผมเข้าไป 72 ปีแล้ว ผมพร้อมออก อายุขนาดนี้แล้วไม่มีใครทำงานขนาดนี้หรอก ถึงมีก็น้อยมาก ผมก็เสียสละทุกอย่าง" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวยืนยัน เมื่อถูกถามว่าน้อยใจหรือไม่ ที่ตัวเองตกเป็นเป้าอยู่ตลอดเวลา
เป็นการตอบคำถามอย่างมั่นใจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า "ยืนยันว่าไม่มี" เรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี ที่มีข่าวว่าในจำนวนรัฐมนตรีที่อาจถูกปรับออกมีเก้าอี้รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยรวมอยู่ด้วย
**แน่นอนว่าคำพูดที่ย้ำว่า "ไม่มี" ที่ออกมานั้นถ้าไม่ "ใหญ่จริง" ก็ต้องมั่นใจถึงพลังอำนาจของตัวเองสุดๆ เพราะตามอำนาจหน้าที่แล้วคนที่พูดคำนี้ได้ว่าจะปรับหรือไม่ปรับคณะรัฐมนตรี ก็คือ นายกรัฐมนตรีเท่านั้น ซึ่งในที่นี้ก็คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ควบตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อีกด้วย
ดังนั้น การพูดว่า"ไม่มีการปรับ" ก็ต้องบอกว่า "ช่างกล้า" และเจ๋งจริง และการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ย้ำแบบนั้นมันก็พอเข้าใจได้ เพระหากพิจารณาจากสถานะที่เป็นอยู่ "พี่ใหญ่" อย่างเขาย่อมไม่ธรรมดาในเรื่องของ "อำนาจ-บารมี" และถ้าจะบอกว่าเขาคือหนึ่งในผู้ที่ค้ำยันรัฐบาล และอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งคำเรียกขานว่า"พี่ใหญ่" ในกลุ่ม"บูรพาพยัคฆ์" ก็ย่อมมีความหมายในตัวเองอยู่แล้ว
ในวงการรับรู้กันดีอยู่แล้ว "พี่ป้อม" คนนี้มากบารมี มีเพื่อนพ้องน้องพี่มากมายในทุกวงการอำนาจ โดยเฉพาะในกองทัพและวงการตำรวจ นอกจากนี้ยังแผ่เครือข่ายเชื่อมโยงไปวงการธุรกิจ ที่เป็น"ทุนใหญ่" และแน่นอนว่าเมื่อเส้นทางเชื่อมโยงแบบนี้มันก็ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเลยไปถึง"การเมือง" ซึ่งมีเครือข่ายใหญ่โตไม่น้อย
หากพิจารณาจากภาพที่เห็นเฉพาะหน้าสำหรับองคาพยพของกลไกทางการเมืองภายใต้ "อำนาจพิเศษ"ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ที่เพิ่งพ้นสภาพไป มาจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่มีผลบังคับใช้เมื่อไม่นานมานี้ ล้วนมีผลในทางบวกกับเขา หรืออย่างน้อยเขาก็มีส่วนเกื้อหนุนด้านบุคลากรในตำแหน่งสำคัญในองค์กรตามรัฐธรรมนูญเหล่านั้น
ตัวอย่างที่มองเห็นภาพชัดก็คือ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หากพูดกันแบบไม่ต้องอ้อมค้อมก็น่าเชื่อว่าเป็นคนที่อยู่ใน"สายของพี่ใหญ่" คนนี้อยู่ค่อนสภา รวมถึงสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) นี่ก็ใช่อีก ไม่เว้นแม้กระทั่งในองค์กรตรวจสอบอย่างสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่รับรู้กันว่าตำแหน่งประธานป.ป.ช.คนปัจจุบัน ก็มีความมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
**ไม่ต้องพูดถึงในวงการตำรวจที่เวลานี้มีเสียงนินทาถึงเรื่อง "ผบ.ตร.เงา" จาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายที่เคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่วนในกองทัพก็คงไม่ต้องพูดถึง ล้วนเป็น"สายตรง"ได้เต็มร้อย เพราะเส้นทางเติบโตมากันแบบรุ่นต่อรุ่นแบบ"ไร้รอยต่อ" เสียด้วย
ขณะเดียวกันด้วยเส้นทางที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มันก็ทำให้มีการคาดเดาไปจนถึงอนาคตได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเส้นทางในสาย"อำนาจทางการเมือง" หลังการเลือกตั้งตามโรดแมปที่ตัวเองก็มีส่วนกำหนดขึ้นมา มีการคาดการณ์กันถึงเรื่องการเปิดทางให้ "นายกฯคนนอก" ตามกลไกของรัฐธรรมนูญผ่าน"บทเฉพาะกาล" ในเวลา 5 ปี แม้ว่านาทีนี้ยังไม่มีใครกล้า"แบไต๋"ออกมาให้เห็นชัดเจน ซึ่งมันก็ต้องเป็นแบบนั้น เพราะมันละเอียดอ่อนเกินไป
แต่ความเคลื่อนไหวที่มีการจับสัญญาณกันได้ว่ามีความพยายามในการเชื่อมต่อผ่าน "พรรคสีน้ำเงิน" ก็เริ่มมองเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ
**อย่างไรก็ดี แม้ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะมี"จุดแข็ง"ในเรื่องอำนาจและบารมี แต่นั่นก็เป็น"วงใน"ในเครือข่ายพวกเดียวกันเอง ที่ได้รับการยอมรับนับถือ แต่ภาพในทางสังคมภายนอกมันก็น่าเจ็บปวดที่เขากลับถูกมองในทางตรงกันข้าม ด้วยภาพของ"สีเทา" ไม่น่าไว้ใจ พูดตรงๆ ก็คือภาพออกไปทางลบมากกว่าทางบวก แม้ว่าที่ผ่านมาเขาก็คงจะทราบดี และพยายามแก้ไขแต่ก็สลัดไม่หลุด มิหนำซ้ำกลับมีแนวโน้มหนักกว่าเดิมเสียอีก อาจเป็นเครือข่ายคนแวดล้อมรอบตัวที่หลายครั้งมีภาพลักษณ์ออกมาในแบบ"เป็นพิษ" ก็ยิ่งตอกย้ำในตัวตนของ"พี่ใหญ่" ออกมาให้เห็นเป็นรายวัน
ที่ผ่านมาแรงกดดันอาจยังไม่ประดังเข้ามามากนัก แต่เมื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย ยังเหลือเวลาอีกเพียงปีเศษก่อนถึงเวลาการเลือกตั้งใหญ่ตามกติกาใหม่ ทุกอย่างก็เริ่มนับถอยหลัง แรงต้านโดยธรรมชาติจากฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการแย่งชิงพื้นที่ข่าว ฝ่ายการเมืองที่ต้องการแสดงบทบาทเพื่อรองรับการเลือกตั้งก็ยิ่งบีบคั้นเรียกร้อง ประกอบกับความจริงที่ประจักษ์ในเรื่อง"เศรษฐกิจปากท้อง" ที่ยังไม่เข้าเป้า มีเสียงบ่นจากชาวบ้านดังขึ้นเรื่อยๆ มันก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องมีการคาดการณ์ไปถึงเรื่องปรับคณะรัฐมนตรีกันอีกครั้ง และเป้าหมายหนึ่งในนั้นก็คือ "พี่ใหญ่" คนนี้ เนื่องจากเขามีบทบาทคุมทั้งหมด ทั้งความมั่นคงและเศรษฐกิจรวมไปถึง"พลังงาน" กลับกลายเป็นว่า จากเดิมที่เคยพยุงรัฐบาลกำลังจะพลิกกลับมาเป็น"ตัวเร่ง" ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น
**อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในความเป็นจริงโอกาสที่เกิดการปลี่ยนแปลง หรือ"ปรับพี่ใหญ่" คนนี้ออกไปมันแทบมองไม่เห็น ด้วยความหมายที่กล่าวมาทั้งหมด แต่หากพลิกเกิดขึ้น มันก็ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่เสียงต่อการเกิดแรงกระเพื่อมตามมา อีกทั้งยังต้องอาศัยความ"กล้าหาญ" อย่างมากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะมันคือ "งานหิน" และอาจมองออกแบบนี้หรือเปล่า ทำให้พูดออกมาอย่างมั่นใจแทนนายกรัฐมนตรีว่า "ยืนยันว่าไม่มีการปรับครม." !!