วันนี้...น่าจะได้เวลาเปิดฝาเข่งออกไป “อะราวนด์ เดอะเวิลด์” กันอีกรอบ ไม่ต้องเหนื่อยใจ เพลียใจกับการตีปีกอยู่ในเล้าเหมือนเดิม ด้วยเหตุเพราะตั้งแต่ช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ทหารสหรัฐฯ ประมาณ 17,500 นาย และทหารเกาหลีใต้อีก 30,000 เขาได้เริ่มออกเอ็กเซอร์ไซส์ เดินหน้าปฏิบัติการซ้อมรบ “Ulchi-Freedom Guardian” ณ คาบสมุทรเกาหลี ท่ามกลางบรรยากาศที่ต่างฝ่ายต่างหวิดจะงัดเอาบ้องข้าวหลามยักษ์ มายิงใส่หัวกบาลกันและกัน เมื่อไม่กี่วันมานี้...
เรื่องของใครยิงใคร ใครยิง-ใครไม่ยิง...ที่ทำท่าเบาๆ ลงไปมั่ง หลังจาก “คิมน้อย” ประกาศเลื่อนแผนการปล่อยจรวด “ฮวาซอง-12” ไปหล่นแถวๆ ริมฝั่งฐานทัพสหรัฐฯ ในเกาะกวม เลยอาจ “ร้อนฉ่า” ขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ตลอดช่วง 10 วัน หรือตั้งแต่วันที่ 21 ไปจนถึง 31 สิงหาฯ อันเป็นช่วงกำหนดเวลาของการซ้อมรบคราวนี้ เพราะตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 20 หรือก่อนหน้าการซ้อมรบ 1 วัน กระบอกเสียงของทางการเกาหลีเหนือ “Rodong Simmun” ก็ได้ออกมาแยกเขี้ยว ยิงฟัน เอาไว้ก่อนหน้า คือระบุเอาไว้ทำนองว่า...การซ้อมรบของกองทัพอเมริกันและเกาหลีใต้คราวนี้ อาจนำไปสู่ “ฉากสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้ของสงครามนิวเคลียร์” เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยให้เหตุผลเอาไว้แบบง่ายๆ แต่ตรงไป-ตรงมา ประมาณว่า...ด้วยเหตุ เพราะไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าไปๆ-มาๆ การซ้อมรบมันอาจกลายการคิดโจมตีเกาหลีเหนือกันจริงๆ!!!
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ตลอดช่วง 10 วันนับจากนี้ คงมิอาจห้ามมิให้ “คิมน้อย” เกิดอาการทางประสาทขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ยิ่งเมื่อผู้รับผิดชอบทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ ออกมาป่าวประกาศกับสำนักข่าว “CNN” เอาไว้ล่วงหน้า ว่าการซ้อมรบครั้งนี้ “สำคัญกว่าทุกๆ ครั้งเท่าที่เคยมีมา” เลยคงต้องภาวนาอย่าให้เกิดเข็มตกลงไปทิ่มหัวแม่ตีนข้างซ้ายของ “คิมน้อย” โดยเด็ดขาด ไม่งั้น...การซ้อมรบมันอาจกลายเป็นการ “รบจริง” ขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่แน่!!! แต่ครั้นจะให้ทหารสหรัฐฯ ทหารเกาหลีใต้ โปรยดอกไม้ไปทั่วท้องฟ้า เต้นระบำส่ายเอว ส่ายสะโพก อยู่หน้ารถถัง ปืนใหญ่ เรือรบ ฯลฯ มันคงไม่ถือเป็นการ “ซ้อมรบ” อีกนั่นแหละ ดังนั้น...เพื่อไม่ให้ถูกลูกหลง คงต้องคอยสังเกต ติดตามกันไปเป็นระยะๆ...
คือการซ้อมรบที่ว่านี้...อันที่จริงมันก็เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว หรือตั้งแต่ปี ค.ศ.1976 โน่นเลย โดยเดิมทีใช้ชื่อว่า “Ulchi-Focus Lens” ก่อนมาเปลี่ยนเป็น “Ulchi-Freedom Guardian” ในเวลาต่อมา โดยคำว่า “Ulchi” ที่ว่า...ว่ากันว่านำมาจากชื่ออดีตแม่ทัพเกาหลียุคโบร่ำโบราณ ผู้มีชื่อว่า “Eulji Mundeok” แห่งอาณาจักรโคกูรยอ ครั้งเมื่อแผ่นดินเกาหลียังแยกออกเป็น 3 อาณาจักร คือแพ็กเจ ชิลลา และโคกูรยอ แต่สิ่งสำคัญมันคงไม่ได้เกี่ยวกับชื่อ แต่เกี่ยวกับรูปแบบ เนื้อหา อันประกอบขึ้นเป็นแผนซ้อมรบในแต่ละครั้ง ระหว่างช่วงเดือนสิงหาฯ-กันยาฯ ของแต่ละปี ที่เกาหลีเหนือเขาตีความแปลความเอาไว้แต่แรกว่า การทุ่มเทกำลังทหารสหรัฐฯ ระดับนับเป็นหมื่นๆ ทหารเกาหลีใต้อีก 30,000 บางครั้งก็ขึ้นไปถึง 50,000 นาย มหึมาซะยิ่งกว่าการซ้อมรบ “Cobra Gold” ในบ้านเราไม่รู้กี่สิบเท่า มันแสดงถึงจุดมุ่งหมายที่คิดจะเปิดฉากสงครามกับเกาหลีเหนือได้ทุกเมื่อ ชนิดที่รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือต้องออกมาประท้วงอย่างเป็นทางการในช่วงปี ค.ศ. 2012 รวมทั้งผู้ใฝ่ใจสันติภาพในเกาหลีใต้ ยังเคยเดินขบวนไปชูป้ายประท้วงคัดค้านการซ้อมรบในลักษณะเช่นนี้ รอบๆ ฐานทัพอเมริกันในเกาหลีใต้มาโดยตลอด...
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ด้วยปฏิบัติการซ้อมรบ “Ulchi-Freedom Guardian” นี่เอง ที่ทำให้เกาหลีเหนือเคยหยิบเอาไปใช้เป็นเหตุผล ข้ออ้าง ในการที่จะเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้-พิสัยกลาง-พิสัยไกล กันอย่างเป็นกระบวนการมาตั้งแต่นั้น ในขณะที่สหรัฐฯ เอาแต่ยืนกรานกระต่ายขาเดียว สรุปว่าการซ้อมรบเช่นนี้เป็นเพียงความพยายามยกระดับการเตรียมพร้อมเพื่อปกป้องและสร้างเสถียรภาพให้กับภูมิภาคแห่งนี้ไปตามเรื่อง ตามราว “อาการทางประสาท” ของ “คิมน้อย” ที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นพ่อ มันจึงเกี่ยวข้อง โยงใยกับปฏิบัติการซ้อมรบที่ว่าอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย พูดง่ายๆ ว่า...บรรดา “เชื้อบ้า” ทั้งหลาย มันมีที่มาจากการซ้อมรบของกองทัพสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ในแต่ละปีนั่นเอง...
ด้วยเหตุนี้...รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เก ลาฟรอฟ” แกเลยเสนอแผนรักษาหลังจากวินิจฉัยโรคเรียบร้อยแล้วว่า ให้สหรัฐฯ และเกาหลีใต้เลิกซ้อมรบ แลกกับเกาหลีเหนือเลิกทดสอบและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็คงหวนกลับมาสู่เสถียรภาพ ความมั่นคง ในคาบสมุทรเกาหลีได้อย่างจริงแท้แน่นอน แต่ทั้งสองฝ่าย...ก็ดูจะยังอาลัยอาวรณ์กับ “เชื้อบ้า” ไปด้วยกันทั้งคู่ โอกาสที่จะตั้งโต๊ะเจรจา หวนกลับไปสู่การหาข้อยุติอย่างที่เคยเริ่มๆ กันมาตั้งแต่ค.ศ. 2003 มันเลยยัง “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย” อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้...
และในเมื่อ “เชื้อบ้า” มันยังคงดำรงอยู่...อันนี้นี่แหละ ที่คงต้องระวังเอาไว้ก่อนล่วงหน้า คือถ้าหากลูกกระสุนลูกปืนลูกใดลูกหนึ่งในระหว่างการซ้อมรบ มันเกิดปลิวไปเฉียดหลังคาบ้าน “คิมน้อย” ขึ้นเมื่อไหร่ เจ้าของทรงผม “ขัดใจแม่” จะถึงขนาดลุกขึ้นมางัดบ้องข้าวหลามยักษ์ ยิงไปตกแถวๆ ริมฝั่งเกาะกวม หรือทะเลญี่ปุ่นกันอีกหรือไม่ และอะไรที่ทำท่าว่าน่าจะเบาๆ ลงไปบ้าง มันจะกลับมาหูแหก ตาแหก ระดับหุ้นตก-ทองขึ้นไปทั่วทั้งโลกกันอีกหรือเปล่า???