วิจารณ์แซ่ด! ชาวเน็ตขุดภาพตำรวจมือปาระเบิดใส่พันธมิตรฯ “ลือชัย สุดยอด”ใช้ภาพตัวเอง เป็นพื้นหลังประกอบการฝึกอบรมตำรวจศรีสะเกษ สลายม็อบ ปี 59 จวกยับคงภูมิใจมากถึงขั้นเอามาโชว์เป็นผลงาน ด้าน"สุริยะใส" ย้ำไม่มีวาระฟื้นพันธมิตรฯ ติงคสช.อย่าเข้าใจผิด แค่หารือแนวทางสู้คดี 7 ตุลาฯ เตรียมพบป.ป.ช.วันนี้ เรียกร้องยื่นอุทธรณ์ เพื่อพิสูจน์ข้อครหาสังคม
เครือข่ายสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก Anuch Phattharakuiniyom ได้เผยแพร่รูปภาพของ พล.ต.ต.ลือชัย สุดยอด รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ยืนเตรียมปราศรัย โดยมีภาพของตนเองกำลังปาวัตถุต้องสงสัย อยู่ท่ามกลางตำรวจ พร้อมระบุข้อความว่า“ความภาคภูมิใจของตำรวจไทย ที่ชื่อ พล.ต.ต.ลือชัย สุดยอด พี่น้องพันธมิตรฯ สังเกตภาพฉากหลัง คือภาพของตำรวจคนนี้เมื่อครั้งปาใส่ระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรฯ เจ้าตัวคงภาคภูมิใจมาก ถึงกับเอามาเป็นภาพฉากหลังโชว์ผลงานตัวเอง”
ทั้งนี้ ภาพดังกล่าวถูกถ่ายเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 ที่หอประชุมสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ โดยพล.ต.ต.ลือชัย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจเพื่อพัฒนาทักษะในการปฏิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ 2558 มี นายมุรธาธีร์ รักชาติเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พล.ต.ต.สุรเดช เด่นธรรม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ นำผู้ควบคุม ผู้ช่วยผู้ควบคุม เจ้าหน้าที่ประจำกองร้อยควบคุมฝูงชนกองร้อยที่ 2 ชุดเจรจาต่อรอง และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 212 นาย เข้ารับการฝึกอบรม ระหว่างวันที่ 29 - 31 มีนาคม 2559
ขณะที่ภาพฉากหลังนั้น เกิดขึ้นในระหว่างที่ตำรวจกำลังเข้าสลายการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ถ่ายโดยช่างภาพหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โดยพ.ต.อ.ลือชัย ซึ่งในเวลานั้น ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการกองบังคับการ ตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ได้ใส่ชุดปฏิบัติการคลุมทั้งตัว และศีรษะ ขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุม บริเวณถนนรอบรัฐสภา พร้อมใช้โล่ของเจ้าหน้าที่เป็นกำบัง และเมื่อสบโอกาส ก็วิ่งออกจากแนวโล่ เพื่อขว้างระเบิดใส่ผู้ชุมนุมเป็นระยะ
"สุริยะใส"ติงคสช.อย่าเข้าใจผิด
จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ในโอกาสที่ไปร่วมงานวันสถาปนาโรงเรียนนายร้อยจปร. ครบ130 ปี ถึงการหารือของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะเรียกร้องให้ ป.ป.ช. ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดี สลายการชุมนุม 7 ตุลาคม 2551 ว่า หากจะเคลื่อนไหวอะไร ต้องขออนุญาตตามกฎหมาย จะมาอ้างแต่สิทธิมนุษยชน อ้างแต่รธน.ไม่ได้ เพราะมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมออกมาแล้ว และขอให้เคารพการตัดสินของศาลด้วย
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.)กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คสช.กำลังเข้าใจผิด มองการเคลื่อนไหวของเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริง ทั้งที่การเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นเรื่องของแนวทางการต่อสู้คดีสลายการชุมนุม 7 ตุลาฯ 51 เท่านั้นไม่ได้มีนัยทางการเมืองอื่นๆ ทั้งสิ้น
เนื่องจากคดีพันธมิตรเกี่ยวของกับหลายฝ่าย เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก และมีเหยื่อของของความรุนแรงในเหตุการณ์ครั้งนั้นหลายราย จึงมีความจำเป็นต้องปรึกษาหารือกัน ว่าจะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เป็นธรรมกับทุกฝ่ายและเป็นบรรทัดฐานต่อสังคมทั้งหมด
ทั้งนี้ จุดยืนของอดีตแกนนำพันธมิตรและแนวร่วมทุกคนเคารพในกระบวนการยุติธรรมไม่เคยหลบหนี เราเข้าสู้กระบวนการยุติธรรมทุกคดีทุกศาล และที่ผ่านมาก็น้อมรับทุกคำพิพากษา แม้เราจะเห็นต่างในบางประเด็นก็ตาม ที่สำคัญเรายังเชื่อมันในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
ส่วนในคำพิพากษาของศาลคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ยกฟ้องจำเลยทั้ง 4 นั้น เราก็หวังใช้สิทธิอุทธรณ์ ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ วันนี้(7ส.ค.) จึงมอบหมายให้ตัวแทน และคนที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม ไปเรียกร้องที่ ป.ป.ช. ให้อุทธรณ์คดี อย่าตัดสิทธิของประชาชนที่จะแสวงหาความยุติธรรม เพื่อให้ได้ข้อยุติถึงที่สุด
"พวกเราหวังว่า ป.ป.ช. จะไม่ตัดโอกาสของประชาชนในส่วนนี้ทิ้งไป หากป.ป.ช.ไม่อุทธรณ์ ผมยังนึกไม่ออกว่าจะอธิบายกับประชาชนได้อย่างไร อย่าลืมว่า ในขณะนี้ ป.ป.ช.ก็ถูกสังคมและสื่อมวลชนตั้งข้อสงสัยถึงความไม่ชอบมาพากลพอสมควร ในการดำเนินการเรื่องที่จำเลยบางคนเกี่ยวโยงกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล จึงหวังว่า ป.ป.ช.จะพิสูจน์ตัวเอง และสร้างความไว้วางใจความเชื่อมั่นจากสังคม" นายสุริยะใส กล่าว
"องอาจ"แนะป.ป.ช.ใช้สิทธิอุทธรณ์คดี
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อมีคำพิพากษาออกมา ย่อมมีผู้เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นการที่รธน.บัญญัติไว้ตามมาตรา 195 เปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน ทางป.ป.ช.ก็ควรใช้สิทธิ์ตามรธน. ยื่นอุทธรณ์เพื่อให้มีคำพิพากษาที่ถึงที่สุด อันจะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับในคำพิพากษา ตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งการใช้สิทธิ์อุทธรณ์ของป.ป.ช. น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
1. เพื่อรักษาสิทธิ์ที่พึงมีตามรธน. 2. เพื่อให้ทุกภาคส่วนในสังคมหมดสิ้นข้อสงสัย 3. เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมที่ถูกกระทำจนได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และฝ่ายที่ถูกกล่าวหา ว่าเป็นผู้กระทำทั้งระดับผู้บริหารประเทศ และผู้ปฏิบัติงาน 4. เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย ต่อการทำหน้าที่ของป.ป.ช. เพราะที่ผ่านมาป.ป.ช. ชุดที่มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 12 เม.ย.59 ว่าป.ป.ช. มีสิทธิ์ขอถอนฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จนมีการตั้งคณะทำงานพิจารณาถอนฟ้อง เพื่อพิจารณาหลักฐานใหม่ ตามที่จำเลยยื่นเรื่องขอความเป็นธรรม ถึงแม้ในที่สุดแล้วป.ป.ช. ไม่ได้ถอนฟ้อง แต่การพิจารณาจะถอนฟ้องคดีของป.ป.ช. ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาพอสมควร
ทั้งนี้ การยื่นอุทธรณ์ของป.ป.ช. จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก เพราะเมื่อมีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดออกมา จะทำให้เกิดข้อยุติ และเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนในสังคม แต่ถ้า ป.ป.ช. ไม่ยื่นอุทธรณ์ เชื่อว่าผู้คนในสังคมจะเกิดคำถาม เกิดความเคลือบแคลงสงสัย ในการทำหน้าที่ของป.ป.ช. ซึ่งไม่เกิดผลดีต่อป.ป.ช. และสังคมโดยรวม แต่อย่างใด
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรฯ จะยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. เพื่อให้อุทธรณ์คดีการสลายชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อปี 2551 ว่า เชื่อว่าพันธมิตรฯ ไม่น่าจะออกมาชุมนุม การที่เขาพบปะกัน ก็เพื่อหารือหาวิธีต่อสู้คดี เพราะเป็นผู้เสียหาย บาดเจ็บ ล้มตาย เป็นเรื่องปกติในการหาทางอุทธรณ์ เพื่อจะชนะคดี ตนไม่เห็นมี พธม.คนไหนบอกว่า จะออกมาชุมนุม เคลื่อนไหว หรือกดดันเลย
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่ ป.ป.ช. จะยื่นอุทธรณ์คดีนี้ ซึ่งพันธมิตรฯ ต้องทำใจ เพราะแต่เดิมตอนที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. เข้ามาใหม่ๆนั้น ป.ป.ช. เคยคิดจะถอนฟ้องอยู่แล้ว ซึ่งการจะถอนฟ้อง คือการไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดี พอผลออกมาว่า คดียกฟ้องแล้ว แพ้แล้ว ป.ป.ช. จะอุทธรณ์ทำไม ในเมื่อระหว่างดำเนินการก็คิดจะถอนฟ้อง ตนถึงบอกว่าพันธมิตรฯ คงต้องทำใจ ถ้าป.ป.ช. อุทธรณ์คดีนี้ ถือว่าแปลกมาก
เครือข่ายสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก Anuch Phattharakuiniyom ได้เผยแพร่รูปภาพของ พล.ต.ต.ลือชัย สุดยอด รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ยืนเตรียมปราศรัย โดยมีภาพของตนเองกำลังปาวัตถุต้องสงสัย อยู่ท่ามกลางตำรวจ พร้อมระบุข้อความว่า“ความภาคภูมิใจของตำรวจไทย ที่ชื่อ พล.ต.ต.ลือชัย สุดยอด พี่น้องพันธมิตรฯ สังเกตภาพฉากหลัง คือภาพของตำรวจคนนี้เมื่อครั้งปาใส่ระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรฯ เจ้าตัวคงภาคภูมิใจมาก ถึงกับเอามาเป็นภาพฉากหลังโชว์ผลงานตัวเอง”
ทั้งนี้ ภาพดังกล่าวถูกถ่ายเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2559 ที่หอประชุมสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตศรีสะเกษ จ.ศรีสะเกษ โดยพล.ต.ต.ลือชัย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจเพื่อพัฒนาทักษะในการปฏิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ 2558 มี นายมุรธาธีร์ รักชาติเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พล.ต.ต.สุรเดช เด่นธรรม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ นำผู้ควบคุม ผู้ช่วยผู้ควบคุม เจ้าหน้าที่ประจำกองร้อยควบคุมฝูงชนกองร้อยที่ 2 ชุดเจรจาต่อรอง และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 212 นาย เข้ารับการฝึกอบรม ระหว่างวันที่ 29 - 31 มีนาคม 2559
ขณะที่ภาพฉากหลังนั้น เกิดขึ้นในระหว่างที่ตำรวจกำลังเข้าสลายการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ถ่ายโดยช่างภาพหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โดยพ.ต.อ.ลือชัย ซึ่งในเวลานั้น ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการกองบังคับการ ตำรวจปฏิบัติการพิเศษ ได้ใส่ชุดปฏิบัติการคลุมทั้งตัว และศีรษะ ขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุม บริเวณถนนรอบรัฐสภา พร้อมใช้โล่ของเจ้าหน้าที่เป็นกำบัง และเมื่อสบโอกาส ก็วิ่งออกจากแนวโล่ เพื่อขว้างระเบิดใส่ผู้ชุมนุมเป็นระยะ
"สุริยะใส"ติงคสช.อย่าเข้าใจผิด
จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ในโอกาสที่ไปร่วมงานวันสถาปนาโรงเรียนนายร้อยจปร. ครบ130 ปี ถึงการหารือของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะเรียกร้องให้ ป.ป.ช. ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดี สลายการชุมนุม 7 ตุลาคม 2551 ว่า หากจะเคลื่อนไหวอะไร ต้องขออนุญาตตามกฎหมาย จะมาอ้างแต่สิทธิมนุษยชน อ้างแต่รธน.ไม่ได้ เพราะมีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมออกมาแล้ว และขอให้เคารพการตัดสินของศาลด้วย
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.)กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คสช.กำลังเข้าใจผิด มองการเคลื่อนไหวของเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริง ทั้งที่การเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นเรื่องของแนวทางการต่อสู้คดีสลายการชุมนุม 7 ตุลาฯ 51 เท่านั้นไม่ได้มีนัยทางการเมืองอื่นๆ ทั้งสิ้น
เนื่องจากคดีพันธมิตรเกี่ยวของกับหลายฝ่าย เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก และมีเหยื่อของของความรุนแรงในเหตุการณ์ครั้งนั้นหลายราย จึงมีความจำเป็นต้องปรึกษาหารือกัน ว่าจะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เป็นธรรมกับทุกฝ่ายและเป็นบรรทัดฐานต่อสังคมทั้งหมด
ทั้งนี้ จุดยืนของอดีตแกนนำพันธมิตรและแนวร่วมทุกคนเคารพในกระบวนการยุติธรรมไม่เคยหลบหนี เราเข้าสู้กระบวนการยุติธรรมทุกคดีทุกศาล และที่ผ่านมาก็น้อมรับทุกคำพิพากษา แม้เราจะเห็นต่างในบางประเด็นก็ตาม ที่สำคัญเรายังเชื่อมันในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
ส่วนในคำพิพากษาของศาลคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ยกฟ้องจำเลยทั้ง 4 นั้น เราก็หวังใช้สิทธิอุทธรณ์ ซึ่งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ วันนี้(7ส.ค.) จึงมอบหมายให้ตัวแทน และคนที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม ไปเรียกร้องที่ ป.ป.ช. ให้อุทธรณ์คดี อย่าตัดสิทธิของประชาชนที่จะแสวงหาความยุติธรรม เพื่อให้ได้ข้อยุติถึงที่สุด
"พวกเราหวังว่า ป.ป.ช. จะไม่ตัดโอกาสของประชาชนในส่วนนี้ทิ้งไป หากป.ป.ช.ไม่อุทธรณ์ ผมยังนึกไม่ออกว่าจะอธิบายกับประชาชนได้อย่างไร อย่าลืมว่า ในขณะนี้ ป.ป.ช.ก็ถูกสังคมและสื่อมวลชนตั้งข้อสงสัยถึงความไม่ชอบมาพากลพอสมควร ในการดำเนินการเรื่องที่จำเลยบางคนเกี่ยวโยงกับผู้มีอำนาจในรัฐบาล จึงหวังว่า ป.ป.ช.จะพิสูจน์ตัวเอง และสร้างความไว้วางใจความเชื่อมั่นจากสังคม" นายสุริยะใส กล่าว
"องอาจ"แนะป.ป.ช.ใช้สิทธิอุทธรณ์คดี
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อมีคำพิพากษาออกมา ย่อมมีผู้เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นการที่รธน.บัญญัติไว้ตามมาตรา 195 เปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน ทางป.ป.ช.ก็ควรใช้สิทธิ์ตามรธน. ยื่นอุทธรณ์เพื่อให้มีคำพิพากษาที่ถึงที่สุด อันจะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับในคำพิพากษา ตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งการใช้สิทธิ์อุทธรณ์ของป.ป.ช. น่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
1. เพื่อรักษาสิทธิ์ที่พึงมีตามรธน. 2. เพื่อให้ทุกภาคส่วนในสังคมหมดสิ้นข้อสงสัย 3. เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมที่ถูกกระทำจนได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และฝ่ายที่ถูกกล่าวหา ว่าเป็นผู้กระทำทั้งระดับผู้บริหารประเทศ และผู้ปฏิบัติงาน 4. เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย ต่อการทำหน้าที่ของป.ป.ช. เพราะที่ผ่านมาป.ป.ช. ชุดที่มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 12 เม.ย.59 ว่าป.ป.ช. มีสิทธิ์ขอถอนฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จนมีการตั้งคณะทำงานพิจารณาถอนฟ้อง เพื่อพิจารณาหลักฐานใหม่ ตามที่จำเลยยื่นเรื่องขอความเป็นธรรม ถึงแม้ในที่สุดแล้วป.ป.ช. ไม่ได้ถอนฟ้อง แต่การพิจารณาจะถอนฟ้องคดีของป.ป.ช. ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาพอสมควร
ทั้งนี้ การยื่นอุทธรณ์ของป.ป.ช. จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างมาก เพราะเมื่อมีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดออกมา จะทำให้เกิดข้อยุติ และเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนในสังคม แต่ถ้า ป.ป.ช. ไม่ยื่นอุทธรณ์ เชื่อว่าผู้คนในสังคมจะเกิดคำถาม เกิดความเคลือบแคลงสงสัย ในการทำหน้าที่ของป.ป.ช. ซึ่งไม่เกิดผลดีต่อป.ป.ช. และสังคมโดยรวม แต่อย่างใด
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรฯ จะยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. เพื่อให้อุทธรณ์คดีการสลายชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อปี 2551 ว่า เชื่อว่าพันธมิตรฯ ไม่น่าจะออกมาชุมนุม การที่เขาพบปะกัน ก็เพื่อหารือหาวิธีต่อสู้คดี เพราะเป็นผู้เสียหาย บาดเจ็บ ล้มตาย เป็นเรื่องปกติในการหาทางอุทธรณ์ เพื่อจะชนะคดี ตนไม่เห็นมี พธม.คนไหนบอกว่า จะออกมาชุมนุม เคลื่อนไหว หรือกดดันเลย
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่ ป.ป.ช. จะยื่นอุทธรณ์คดีนี้ ซึ่งพันธมิตรฯ ต้องทำใจ เพราะแต่เดิมตอนที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. เข้ามาใหม่ๆนั้น ป.ป.ช. เคยคิดจะถอนฟ้องอยู่แล้ว ซึ่งการจะถอนฟ้อง คือการไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดี พอผลออกมาว่า คดียกฟ้องแล้ว แพ้แล้ว ป.ป.ช. จะอุทธรณ์ทำไม ในเมื่อระหว่างดำเนินการก็คิดจะถอนฟ้อง ตนถึงบอกว่าพันธมิตรฯ คงต้องทำใจ ถ้าป.ป.ช. อุทธรณ์คดีนี้ ถือว่าแปลกมาก