มีเวลา 30 วัน ให้ “บิ๊กกุ้ย”พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการพิจารณา และไตร่ตรองว่า จะอุทธรณ์คำพิพากษาหรือไม่
หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายกฟ้อง กรณีที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยมิชอบ
การอุทธรณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องแค่ว่า เป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพิสูจน์ข้อครหาต่างๆ ที่ทุกคนมีต่อตัว“บิ๊กกุ้ย”อีกครั้ง เพราะเสียงคนนินทาเหล่านี้ อื้ออึงมาตั้งแต่วันลาออกจากตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพื่อมาเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการป.ป.ช. แถมยังได้เป็นประธานป.ป.ช. ในตอนสุดท้าย ที่มีการมองกันว่า ได้รับมอบหมายให้มาทำภารกิจบางอย่าง
หลังเข้ารับตำแหน่งไม่กี่วัน ปรากฏว่า น้องรักของพล.อ.ประวิตร อย่าง “บิ๊กป๊อด”พล.ต.อ.พัชรวาท จำเลยในคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ลุกขึ้นมายื่นเรื่องให้ คณะกรรมการป.ป.ช. เพื่อขอให้ถอนคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ออกจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยอ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่มานำเสนอ
แรกเริ่มเดิมทีดูเหมือน พล.ต.อ.วัชรพล จะกล้าทำตามสิ่งที่จำเลยร้องขอ แต่แล้วเมื่อเสียงคัดค้านเริ่มขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ที่สุดจึงต้องหลบลมร้อน โดยการตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อศึกษาเป็นการสยบแรงกระเพื่อมต่างๆ หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป ไม่ได้รับการสานต่ออีกเลย
กระนั้นแม้ไม่ได้มีการถอนฟ้องตามสิ่งที่จำเลยร้องขอ แต่นั่นทำให้หลายคนเริ่มหวั่นๆ ใจเหมือนกัน หลังเห็นขบวนการที่พยายามจะจ้องล้มคดีนี้ จนพุ่งเป้าไปที่การทำงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ที่ต้องทำหน้าที่ทนายความต่อสู้ในชั้นศาลฎีกาฯ ว่า จะยังเต็มที่เหมือนกับคณะกรรมการป.ป.ช. ชุดเก่าหรือไม่
ประหนึ่งเหมือนมวยที่ขึ้นชก แต่ไม่ตั้งใจชก เพียงแต่ประคองตัวเองให้ครบ 12 ยกเท่านั้น
และเมื่อผลออกมาเช่นนี้ มันจึงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาแกนนำพันธมิตรฯ และญาติผู้เสียหายเลย เพราะมันเห็นกันอยู่ทนโท่มาโดยตลอดว่า คดีที่ครั้งหนึ่งมีโอกาสจะลากคอผู้กระทำความผิดเข้าคุกเข้าตะรางได้ แต่สุดท้ายกลับมาแพ้ แบบที่มีความเคลือบแคลงสงสัยหลายจุด
การอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ในครั้งนี้ จึงเป็นอีกบทพิสูจน์ว่า สิ่งที่ทุกคนคลางแคลงสงสัยในตัว “บิ๊กกุ้ย”มาตลอด เป็นจริงหรือไม่ ถ้าอุทธรณ์ก็อาจจะทำให้เสียงครหาเบาบางลงบ้าง แต่ถ้ายืนยันว่าไม่อุทธรณ์ ทั้งที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยื่นเรื่องกรณีที่ศาลปกครอง ระบุว่า การชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนั้น เป็นการชุมนุมโดยสงบ ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ไปให้พิจารณา ตรงนี้อาจทำให้ข้อครหาที่มีอยู่เป็นทุนเดิม เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
แต่ก็ไม่รู้ว่า“บิ๊กกุ้ย”จะแคร์หรือไม่ ? เพราะหากครั้งนี้มีขบวนการที่พยายามช่วย พล.ต.อ.พัชรวาท อยู่จริง ก็ถือว่า ทำภารกิจสำเร็จลุล่วงแล้ว ยิ่งตอนนี้ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กำลังเขียน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยจะให้กรรมการป.ป.ช. ในชุดปัจจุบัน ที่มีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต้องพ้นจากตำแหน่งไป ซึ่งว่ากันว่าไปกันเกือบหมด รวมถึงตัว “บิ๊กกุ้ย”ด้วย เหลือกันแค่คนสองคนเท่านั้น
ดังนั้น ถ้า“บิ๊กกุ้ย”ต้องพ้นไปตามกฎหมายลูกของป.ป.ช. ฉบับใหม่ มันก็ยิ่งชัดว่า เข้ามาเพื่อภารกิจอะไรโดยเฉพาะ !
หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายกฟ้อง กรณีที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยมิชอบ
การอุทธรณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องแค่ว่า เป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพิสูจน์ข้อครหาต่างๆ ที่ทุกคนมีต่อตัว“บิ๊กกุ้ย”อีกครั้ง เพราะเสียงคนนินทาเหล่านี้ อื้ออึงมาตั้งแต่วันลาออกจากตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพื่อมาเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการป.ป.ช. แถมยังได้เป็นประธานป.ป.ช. ในตอนสุดท้าย ที่มีการมองกันว่า ได้รับมอบหมายให้มาทำภารกิจบางอย่าง
หลังเข้ารับตำแหน่งไม่กี่วัน ปรากฏว่า น้องรักของพล.อ.ประวิตร อย่าง “บิ๊กป๊อด”พล.ต.อ.พัชรวาท จำเลยในคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ลุกขึ้นมายื่นเรื่องให้ คณะกรรมการป.ป.ช. เพื่อขอให้ถอนคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ออกจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยอ้างว่า มีพยานหลักฐานใหม่มานำเสนอ
แรกเริ่มเดิมทีดูเหมือน พล.ต.อ.วัชรพล จะกล้าทำตามสิ่งที่จำเลยร้องขอ แต่แล้วเมื่อเสียงคัดค้านเริ่มขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ที่สุดจึงต้องหลบลมร้อน โดยการตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อศึกษาเป็นการสยบแรงกระเพื่อมต่างๆ หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป ไม่ได้รับการสานต่ออีกเลย
กระนั้นแม้ไม่ได้มีการถอนฟ้องตามสิ่งที่จำเลยร้องขอ แต่นั่นทำให้หลายคนเริ่มหวั่นๆ ใจเหมือนกัน หลังเห็นขบวนการที่พยายามจะจ้องล้มคดีนี้ จนพุ่งเป้าไปที่การทำงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ที่ต้องทำหน้าที่ทนายความต่อสู้ในชั้นศาลฎีกาฯ ว่า จะยังเต็มที่เหมือนกับคณะกรรมการป.ป.ช. ชุดเก่าหรือไม่
ประหนึ่งเหมือนมวยที่ขึ้นชก แต่ไม่ตั้งใจชก เพียงแต่ประคองตัวเองให้ครบ 12 ยกเท่านั้น
และเมื่อผลออกมาเช่นนี้ มันจึงไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาแกนนำพันธมิตรฯ และญาติผู้เสียหายเลย เพราะมันเห็นกันอยู่ทนโท่มาโดยตลอดว่า คดีที่ครั้งหนึ่งมีโอกาสจะลากคอผู้กระทำความผิดเข้าคุกเข้าตะรางได้ แต่สุดท้ายกลับมาแพ้ แบบที่มีความเคลือบแคลงสงสัยหลายจุด
การอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ในครั้งนี้ จึงเป็นอีกบทพิสูจน์ว่า สิ่งที่ทุกคนคลางแคลงสงสัยในตัว “บิ๊กกุ้ย”มาตลอด เป็นจริงหรือไม่ ถ้าอุทธรณ์ก็อาจจะทำให้เสียงครหาเบาบางลงบ้าง แต่ถ้ายืนยันว่าไม่อุทธรณ์ ทั้งที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยื่นเรื่องกรณีที่ศาลปกครอง ระบุว่า การชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนั้น เป็นการชุมนุมโดยสงบ ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ไปให้พิจารณา ตรงนี้อาจทำให้ข้อครหาที่มีอยู่เป็นทุนเดิม เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
แต่ก็ไม่รู้ว่า“บิ๊กกุ้ย”จะแคร์หรือไม่ ? เพราะหากครั้งนี้มีขบวนการที่พยายามช่วย พล.ต.อ.พัชรวาท อยู่จริง ก็ถือว่า ทำภารกิจสำเร็จลุล่วงแล้ว ยิ่งตอนนี้ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กำลังเขียน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยจะให้กรรมการป.ป.ช. ในชุดปัจจุบัน ที่มีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต้องพ้นจากตำแหน่งไป ซึ่งว่ากันว่าไปกันเกือบหมด รวมถึงตัว “บิ๊กกุ้ย”ด้วย เหลือกันแค่คนสองคนเท่านั้น
ดังนั้น ถ้า“บิ๊กกุ้ย”ต้องพ้นไปตามกฎหมายลูกของป.ป.ช. ฉบับใหม่ มันก็ยิ่งชัดว่า เข้ามาเพื่อภารกิจอะไรโดยเฉพาะ !