xs
xsm
sm
md
lg

7 ตุลา 51 คงต้องรอกฎแห่งกรรม

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ


คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองในคดีการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการสลายชุมนุมของฝ่ายอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ออกมาแล้ว เป็นที่ทราบกันแล้วว่า ศาลยกฟ้องจำเลยทั้ง 4 คน คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว

ระหว่างที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ยังไม่มีคำพิพากษาฉบับเต็ม แต่อ่านเอกสารข่าวของศาลที่แจกสื่อมวลชน มีใจความดังนี้

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในเหตุการณ์ช่วงเช้าของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยทั้งสี่ร่วมกันสั่งการให้มีการเปิดทางเข้ารัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีเข้าไปแถลงข่าวต่อรัฐสภา อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 176 บัญญัติไว้ การที่ผู้ชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาโดยปิดล้อมประตูเข้าออกไว้ทุกด้านถือว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และมิได้เป็นการชุมนุมที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) โดยใช้มาตรการควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักแล้ว เท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์ขณะนั้น พยานหลักฐานโจทก์รับฟังมิได้ว่า จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

สำหรับเหตุการณ์ในช่วงบ่ายและช่วงค่ำ เหตุการณ์นี้โจทก์ได้ร้องขอให้ลงโทษเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เนื่องจากข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 ได้ลาออกจากตำแหน่งไปหลังจากเกิดเหตุการณ์ในช่วงเช้า การที่ผู้ชุมนุมได้กลับมาปิดล้อมรัฐสภา เป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา และเจ้าหน้าที่รัฐสภาไม่สามารถออกมาจากรัฐสภาได้ มีการปลุกระดมผู้ชุมนุมและจะบุกเข้าไปข้างในรัฐสภา จึงมิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ และเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อเปิดทางช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในรัฐสภา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) แล้ว จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตาเพื่อช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสี่ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแก๊สน้ำตาแม้จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นการยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะทราบว่าแก๊สน้ำตาจะเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเช่นนั้น เมื่อเหตุการณ์ชุมนุมยังไม่สงบเจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเพื่อรักษาความสงบไม่ให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของทางราชการ ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาพิเศษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กายและเสียชีวิต จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และจำเลยที่ 4 ไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใด

พิพากษายกฟ้อง

แปลเป็นภาษาชาวบ้านว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐโดยมีผู้สั่งการที่ถูกนำมาฟ้องทั้งสี่นั้นเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ผลลัพธ์จะมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากก็ตาม

เมื่อผลออกมาเช่นนี้สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวก็คือ ต้องยอมรับคำตัดสินจากดุลพินิจขององค์คณะทั้ง 9 ท่านโดยดุษณี รอดูแต่ว่า แต่ละท่านจะมีคำวินิจฉัยส่วนตัวออกมาอย่างไรซึ่งผมไม่มั่นใจว่าในศาลนี้มีไหมหรืออย่างน้อยอยากรู้ว่ามติออกมาอย่างไร จากนั้นรอดูว่า ป.ป.ช.ซึ่งเป็นโจทก์จะอุทธรณ์ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 เปิดทางเอาไว้หรือไม่ แต่ก็คาดหวังยากเหลือเกินเพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวอยู่แล้วว่า ป.ป.ช.ชุดนี้มีความพยายามจะถอนคดีออกจากศาลก่อนจะมีคำพิพากษาออกมา

ถ้าผมจะติดใจก็คือ ตรงที่ศาลมีความเห็นว่า “แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นการยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะทราบว่าแก๊สน้ำตาจะเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเช่นนั้น” เพราะผมคิดว่าตำรวจผู้ใช้แก๊สน้ำตานั้น ต้องรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า แก๊สน้ำตาแต่ละชนิดส่งผลอย่างไร การสั่งซื้อมาใช้ต้องทราบถึงคุณสมบัติของแก๊สน้ำตาชนิดนั้นเป็นอย่างดี ต้องใช้อย่างไร เพราะปรากฏภาพชัดเจนว่า ตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาโดยเล็งไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้ยิงขึ้นฟ้าแล้วให้ตกลงมาในพื้นที่ใกล้เคียง

ส่วนที่บอกว่าไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบนั้น คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ทราบดีว่า ความชุลมุนวุ่นวายนั้นมันเกิดขึ้นเมื่อถูกใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมแล้ว แต่ก่อนเข้าสลายการชุมนุมนั้นประชาชนเพียงแต่ชุมนุมปิดล้อมอยู่บนถนนรอบรัฐสภาฟังการปราศรัยเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลสามารถหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช้รัฐสภาเป็นสถานที่ประชุมได้ และเล็งเห็นผลจากความรุนแรงของแก๊สน้ำตาที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ยังคงปฏิบัติการจนค่ำมืด

มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า การขัดขวางไม่ให้รัฐบาลเข้าประชุมสภา เมื่อเทียบกับชีวิตของคนตายและบาดเจ็บนั้นมันสมเหตุสมผล ควรแก่เหตุ และได้สัดส่วนกันหรือไม่

เอาเถอะครับ เราต้องอยู่ภายใต้กระบวนยุติธรรมที่เราต้องให้ความเคารพร่วมกัน ถ้ากระบวนยุติธรรมถูกปฏิเสธเสียแล้วบ้านเมืองของเราคงจะเกิดวิกฤตยิ่งกว่านี้ และคงไม่สามารถดำรงความเป็นรัฐอยู่ได้

เมื่อมีคำพิพากษาออกมาเช่นนี้ ออกมาขัดแย้งกับความรู้สึกของเราสิ่งที่ทำได้อย่างเดียวก็คือเราต้องทำใจยอมรับแม้จะคิดโดยสิทธิส่วนตัวว่ามันยุติธรรมหรือไม่ก็ตาม คิดเสียว่าเหตุผลของท่านนั้นเหนือกว่าความรู้สึกในจิตใจของเรา และได้มีการชั่งตวงมาอย่างดีแล้ว

ผมหวังเพียงว่าหลังจากนี้ผู้มีอำนาจรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐจะใช้ความระมัดระวังในการเข้าสลายการชุมนุมของประชาชน อย่างเห็นแก่คุณค่าชีวิตและร่างกายของประชาชน ไม่คิดว่า เมื่อมีอำนาจหน้าที่แล้วไม่ต้องไปสนใจว่าผลลัพธ์ที่จะตกกับประชาชนจะเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ผมไม่มั่นใจว่าในอนาคตหากเรามีรัฐบาลที่ใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม ประชาชนควรจะต้องนิ่งดูดายหรือควรจะออกมาต่อสู้เพื่อขัดขวางการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมนั้น แล้วจะถูกมองว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของผู้มีอำนาจ แล้วรัฐก็สามารถใช้อำนาจเข้าปราบปรามได้แม้ว่าผลจะออกมาเป็นชีวิตและความทุพพลภาพของประชาชนก็ตาม

หรือไม่การชุมนุมในอนาคตแม้รัฐบาลจะใช้กำลังและความรุนแรงเพียงไหนก็ตาม เราควรจะต้องนั่งนิ่งเฉยไม่ตอบโต้หรือโกรธเคือง เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ2560 มาตรา 44 ที่ว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ

แต่ถามว่าเรามีความภาคภูมิใจในการออกมาต่อสู้หรือไม่ ผมเชื่อว่าพวกเรายังคงภูมิใจในสิ่งที่เราได้ร่วมกันกระทำลงไป เพราะถ้าไม่มีพวกเราในวันนั้นประเทศไทยก็ไม่มีวันนี้

อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าสอนไว้เป็นสัจธรรมว่า ใครทำกรรมใดไว้ ได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้

สัตว์ทั้งหลายจึงเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กระทำกรรมใด ไว้ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลกรรมนั้นไม่ว่าจะใครก็ตาม

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan
กำลังโหลดความคิดเห็น