วันนี้ (2 ส.ค.) เวลา 09.30 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.2/2558 ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โจทก์ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ 1 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ 2 พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่ 3 พลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว ที่ 4 จำเลย
คดีนี้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 กล่าวหาว่าจำเลยทั้ง 4 คน ประกอบด้วย จำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี (ดูแลงานด้านความมั่นคง) จำเลยที่ 3 ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจำเลยที่ 4 ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมกันสลายการชุมนุมและไม่ดำเนินการระงับยับยั้ย เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 83
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลเริ่มไต่สวนพยานหลักฐานนัดแรกเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2559 โดยอนุญาตให้คู่ความทั้งสองฝ่ายนำพยานเข้าไต่สวนทั้งหมดรวม 47 ปาก ซึ่งเป็นพยานฝ่ายโจทก์ 15 ปาก ฝ่ายจำเลยทั้งสี่ 32 ปาก ใช้เวลาไต่สวน 21 นัด คดีเสร็จการไต่สวนเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในเหตุการณ์ช่วงเช้าของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยทั้งสี่ร่วมกันสั่งการให้มีการเปิดทางเข้ารัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีเข้าไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภา อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 176 บัญญัติไว้ การที่ผู้ชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาโดยปิดล้อมประตูเข้าออกไว้ทุกด้าน ถือว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และมิได้เป็นการชุมนุมที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) โดยใช้มาตรการควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักแล้ว เท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์ขณะนั้น พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
สำหรับเหตุการณ์ในช่วงบ่ายและช่วงค่ำ เหตุการณ์นี้โจทก์ร้องขอให้ลงโทษเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เนื่องจากข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้ลาออกจากตำแหน่งไปหลังจากเกิดเหตุการณ์ในช่วงเช้า การที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้กลับมาปิดล้อมรัฐสภา เป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา และเจ้าหน้าที่รัฐสภา ไม่สามารถออกมาจากรัฐสภาได้ มีการปลุกระดมผู้ชุมนุมและจะบุกเข้ามาบ้างในรัฐสภา จึงมิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ และเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อเปิดทางช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในรัฐสภา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) แล้ว จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตาเพื่อช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสี่ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแก๊สน้ำตาก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลอันเกิดจากการใช้แก๊สน้ำตา แม้จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นการยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะทราบว่าแก๊สน้ำตาจะเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเช่นนั้น เมื่อเหตุการณ์ชุมนุมยังไม่สงบ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเพื่อรักษาความสงบไม่ให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของทางราชการ ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่อาจคาดเห็นได้ว่าแก๊สน้ำตาจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ชุมนุมได้ และข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาพิเศษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กายและเสียชีวิต จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และจำเลยที่ 4 ไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
พิพากษายกฟ้อง
คดีนี้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 กล่าวหาว่าจำเลยทั้ง 4 คน ประกอบด้วย จำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี (ดูแลงานด้านความมั่นคง) จำเลยที่ 3 ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจำเลยที่ 4 ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมกันสลายการชุมนุมและไม่ดำเนินการระงับยับยั้ย เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 83
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลเริ่มไต่สวนพยานหลักฐานนัดแรกเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2559 โดยอนุญาตให้คู่ความทั้งสองฝ่ายนำพยานเข้าไต่สวนทั้งหมดรวม 47 ปาก ซึ่งเป็นพยานฝ่ายโจทก์ 15 ปาก ฝ่ายจำเลยทั้งสี่ 32 ปาก ใช้เวลาไต่สวน 21 นัด คดีเสร็จการไต่สวนเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในเหตุการณ์ช่วงเช้าของวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยทั้งสี่ร่วมกันสั่งการให้มีการเปิดทางเข้ารัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีเข้าไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภา อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 176 บัญญัติไว้ การที่ผู้ชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาโดยปิดล้อมประตูเข้าออกไว้ทุกด้าน ถือว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และมิได้เป็นการชุมนุมที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของแผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) โดยใช้มาตรการควบคุมฝูงชนจากเบาไปหาหนักแล้ว เท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์ขณะนั้น พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสี่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
สำหรับเหตุการณ์ในช่วงบ่ายและช่วงค่ำ เหตุการณ์นี้โจทก์ร้องขอให้ลงโทษเฉพาะจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เนื่องจากข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 2 ได้ลาออกจากตำแหน่งไปหลังจากเกิดเหตุการณ์ในช่วงเช้า การที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้กลับมาปิดล้อมรัฐสภา เป็นเหตุให้คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา และเจ้าหน้าที่รัฐสภา ไม่สามารถออกมาจากรัฐสภาได้ มีการปลุกระดมผู้ชุมนุมและจะบุกเข้ามาบ้างในรัฐสภา จึงมิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบ และเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อเปิดทางช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในรัฐสภา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของผนรักษาความสงบ (กรกฎ/48) แล้ว จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตาเพื่อช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสี่ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแก๊สน้ำตาก็ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลอันเกิดจากการใช้แก๊สน้ำตา แม้จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นการยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะทราบว่าแก๊สน้ำตาจะเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเช่นนั้น เมื่อเหตุการณ์ชุมนุมยังไม่สงบ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติเพื่อรักษาความสงบไม่ให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของทางราชการ ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่อาจคาดเห็นได้ว่าแก๊สน้ำตาจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ชุมนุมได้ และข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาพิเศษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กายและเสียชีวิต จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และจำเลยที่ 4 ไม่มีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
พิพากษายกฟ้อง