ข่าวปนคน คนปนข่าว
** โยนหิน“เก็บภาษีแดด-ขายไฟกลางคืนแพง”แค่มุกสับขาหลอก หลังกกพ.เคาะค่าเอฟทีเพิ่ม ไฟเขียวขึ้นค่าไฟฟ้า 2 งวดติด แต่ถ้าเผลอๆ ก็เอาแน่
ปล่อยของเรียกแขกต่อเนื่องไม่แพ้ใครเหมือนกัน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะRegulator ที่มีอำนาจกำหนดทิศทาง “ค่าไฟฟ้า”ให้ขึ้นหรือลงได้ .. ล่าสุดมีข่าวจาก วีระพล จิรประดิษฐกุล บอร์ด กกพ. ในฐานะโฆษกของหน่วยงาน ระบุว่ากำลังพิจารณา “แนวทางปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ โดยจะเรียกเก็บค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าในเวลากลางคืน เพื่อให้สะท้อนต้นทุนและปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น” .. ประมาณว่าต่อไปนี้ใครใช้ไฟฟ้าตอนกลางคืน จะจ่ายแพงกว่าตอนกลางวัน .. เชื่อสิว่าพอข่าวออกไป เจอก้อนหินเขวี้ยงกลับมา ก็ต้องออกมาแก้ตัว เอ้ยย..ชี้แจงในทำนองว่า อยู่ในระหว่างการศึกษาเท่านั้น ..
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อไม่นานมานี้ก็มีการ “โยนหินถามทาง”จากทาง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรื่องการเก็บภาษีโซล่าร์รูฟท็อป หรือที่เรียกกันว่า“ภาษีแดด”ออกมา .. พอเจอกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวาง ก็ถอยกรูด ชี้แจงเป็นพัลวันว่า สื่อมวลชนนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อน พร้อมโยนลูกให้ กกพ. เป็นผู้พิจารณาศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าสำรองที่เหมาะสม สำหรับผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ว่า ขนาดกำลังผลิตติดตั้งเท่าใด จึงจะเข้าข่ายต้องถูกเรียกเก็บ .. และก็เป็น “กกพ.วีระพล” คนเดียวกันนี้แหละ ที่บอกว่า ยืนยันว่าจะ “ยัง”ไม่เรียกเก็บกับผู้ที่ติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปรายย่อย แต่อาจเรียกเก็บกับผู้ผลิตรายใหญ่“นำร่อง”ไปก่อน .. ไม่ต้องถอดรหัส-ตีความลึกซึ้งอะไร ก็แปลว่า กกพ.มีนโยบายที่จะเก็บ“ภาษีแดด”นั่นเอง
ทั้งไอเดียการเก็บภาษีไฟกลางคืน หรือการเก็บภาษีแดด คนที่ใช้แผงโซล่าร์ น่าจะมีผลพวงมาจากความนิยมในการใช้ “พลังงานทดแทน”ในช่วงตอนกลางวันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการติดตั้ง“โซล่าร์รูฟท็อป”หรือแผงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ติดตั้งบนหลังคา ทั้งในส่วนของครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรม ที่ขณะนี้ข่าวว่าต้นทุนลดลงไปพอสมควร ทำให้หน่วยงานไฟฟ้าของรัฐ “รายได้หด” ..ก็เลยออกอาการหนีตาย หันมา “โยนหินถามทาง”นู่นนี่นั่น ลดแรงจูงใจในการประหยัด-หรือใช้พลังงานทดแทนไปเสียนี่ .. หรือทำอะไรไม่ถูก ก็ประกาศขึ้นค่าไฟโต้งๆ กันไปเลย
ย้อนไปเมื่อเดือน เม.ย.60 กกพ.ก็มีมติเห็นชอบปรับ“ค่าเอฟที”หรือค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ งวดเดือน พ.ค.-ส.ค. เพิ่มขึ้น 12.52 สตางค์/หน่วย ตอนนั้นอวดว่า เป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 ปี 7 เดือน และบอกว่าจะตรึงราคาให้ผ่านพ้นปีนี้ไปก่อน .. แต่ 12 ก.ค.60 “กกพ.วีระพล”แถลงอีกหนว่า ที่ประชุม กกพ.มีมติให้ปรับขึ้นค่าเอฟที งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.60 อีก 8.87 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 2-3 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุผลคลาสสิก ราคาก๊าซ-ถ่านหินพุ่ง .. เห็นว่ามีการรับฟังความเห็นประชาชนในเว็บไซต์ กกพ. ตั้งแต่ 12-26 ก.ค. แต่จะประกาศค่าเอฟทีใหม่อย่างเป็นทางการ พรุ่งนี้ (1 ส.ค.)นี้ ก็ไม่รู้จะเปิดรับฟังความเห็นทำไม .. แถมยังหยอดไว้อีกว่า แนวโน้มค่าเอฟทีงวดหน้า ม.ค.-เม.ย.61 ยังมีทิศทางปรับขึ้นอีกด้วย กลายเป็นวงจรของผู้ที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าในบ้านนี้เมืองนี้ เริ่มจากขึ้นค่าไฟฟ้า แล้วก็มารณรงค์ประหยัดไฟ พอรายได้ลด ก็วนไปเริ่มที่การขึ้นค่าไฟอีก ..
ช่วงนี้ก็จะเนียนๆ หน่อย สับขาหลอกโดยการโยนหินเรื่องการหา“รายได้เสริม”ทั้งเรื่องภาษีแดดเอย ขึ้นค่าไฟกลางคืนเอย ช่วยลดกระแสเรื่องการขึ้นค่าไฟ 2 งวดติดไปได้ แต่อย่าเผลอนะ เรื่องรายได้เสริม นี่เขาเอาแน่ .. โดยใช้ กกพ. ที่ชื่อเหมือนเป็น “องค์กรอิสระ”แต่ความจริงไม่ได้อิสระ เนื่องจากการสรรหายังต้องผ่านคณะกรรมการที่ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน”ตั้งขึ้น .. ดังนั้นไอเดียบรรเจิดแต่ละอย่างของ กกพ.ช่วงนี้ ย่อมผ่านหูผ่านตา“บิ๊กโย่ง”พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน บ้างไม่มากก็น้อย .. ก็ได้แต่เตือนว่า ระวังเถอะ หากินบนความทุกข์ชาวบ้าน ที่จมปลักอยู่กับปัญหาปากท้องอยู่แล้ว จะกลายเป็นอีกปมที่รัฐบาลแก้ไม่ตก.
** 2 พรรคใหญ่รุมสหบาทา“ระบายข้าว”ข้อสงสัยที่ “บิ๊กฉัตร”ต้องตอบ บทพิสูจน์ความโปร่งใส “รัฐบาล คสช.”อย่าตั้งใจหลงประเด็นเหมือน “ท่านไก่อู”
ไม่เพียงแต่ประเด็นร้อน โค้งสุดท้ายคดีรับจำนำข้าวของ“รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ที่ทำเอา “รัฐบาลทหาร”เริ่มต้องเอาเท้าก่ายหน้าผากเท่านั้น .. เพราะในจังหวะที่คดีกำลังงวดถึงตอนจบ ก็เริ่มมีกระแสบูมเมอแรงย้อนศรกลับมาที่ “รัฐบาลทหาร”ในเรื่องของความไม่ชอบมาพากลของ “กระบวนการระบายข้าว” .. โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวราวกับนัดกันมาของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ “เพื่อไทย–ประชาธิปัตย์”ที่อาจดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่ก็เป็นคนละเรื่องเดียวกัน .. ฝ่ายเพื่อ ไทย มี “เสี่ยโจ้”ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต รมช.เกษตรฯ เป็นหัวหอกในการเปิดประเด็นความมั่วในการขายข้าวคน-ข้าวเน่า-ข้าวอาหารสัตว์ นำมาผสมปนเป ทำให้ข้าวคุณภาพดี ถูกทุบราคาลงไปเท่ากับข้าวเน่า-ข้าวเสีย ว่ากันว่ามีมีเงินทอนกันเป็นหมื่นล้านบาท ..
อีกด้านฝ่ายประชาธิปัตย์ เป็น “เดอะแจ๊ค” วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่เริ่มจากประเด็นการกีดกันเอกชนในการเข้าประมูลข้าวของ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จนทำให้ ดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ชี้แจงแบบ“กระต่ายขาเดียว”ว่า ทุกอย่างดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มี “นายกฯตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน และ “บิ๊กฉัตร”พล.อ.ฉัตรชัย สาลิกัลยะ รมว.เกษตรฯเป็นรอง
ประธานฯ จนถูกนำไปเป็นประเด็นว่ามีการ“แอบอ้างชื่อนายกฯ”นั่นแหละ แต่ก็ดูท่าทางฝ่ายรัฐ โดย “ท่านไก่อู”พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล จะตั้งใจหลงประเด็น บอกว่าความเคลื่อนไหวในเรื่องความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการระบายข้าว จากทั้งนักการเมือง-โรงสี เพราะหวังผลไปถึงการตัดสินคดีโครงการรับจำนำข้าวของ “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพวก ..
แน่นอนว่าฝ่ายเพื่อไทย คงอยากจะดิสเครดิตรัฐบาลไม่มากก็น้อย แต่หากพิเคราะห์ข้อมูลจาก 2 ฝั่ง รวมทั้งบรรดารายย่อย ที่เริ่มรวมตัวกันเรียกร้องความเป็นธรรมอย่างไม่มีอคติ ก็ต้องยอมรับว่า มีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นจริง ในการหาประโยชน์โดยมิชอบจากการระบายในยุครัฐบาล คสช.นี้ โดยเฉพาะการที่มี “ทหาร” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทั้งการขู่โรงสี หรือการห้ามนักข่าวในการหาข้อมูล .. ถ้า “นายกฯตู่”บอกว่าเรื่องการยึดทรัพย์ “ยิ่งลักษณ์และพวก”กับผลการ พิพากษาคดีจำนำข้าวของศาลฎีกานักการเมือง เป็นคนละเรื่อง ก็ต้องบอกเช่นกันว่า ข้อมูลความผิดปกติของการระบายข้าวตอนนี้ ก็เป็นคนละเรื่องกับผลการตัดสินคดีเช่นกัน ..
อย่างข้อมูลล่าสุดที่ “เดอะแจ๊ค”เปิดเผยว่า มี “รัฐมนตรีคนหนึ่ง”ได้ใช้เฮลิคอปเตอร์แบบ MI-17 ของกองทัพบก บินจากกรุงเทพฯ ไปตรวจสอบโรงสีข้าวที่ จ.กำแพงเพชร ที่เข้าร่วมประมูลข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลเข้าสู่อุตสาหกรรมที่มิใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 1/2560 ฟังดูก็เหมือนเป็นเรื่องดี .. แต่ก็มี “ลับลมคมใน”ไม่น้อยกับการที่รัฐมนตรีคนที่ว่า ใช้ ฮ.ของกองทัพบก แทนที่จะเป็น ฮ.ของกระทรวงเกษตรฯ ตามภารกิจ รวมทั้งการ “ปิดลับ”ในเรื่องที่หารือกับทางโรงสี อีกด้วย .. เห็น“วัชระ”ฝากไปถาม “นายกฯตู่”ว่ารัฐมนตรีคนนั้น เป็นใคร แต่ถ้าจะให้ดี ให้ตรงเป้า ควรจะไปถาม “บิ๊กฉัตร”เจ้ากระทรวงเกษตรฯ ถึง“ตัวละครลับ”มากกว่า รวมทั้งการตรวจสอบเรื่องการประมูลข้าวดี-ข้าวเน่า-ข้าวอาหารสัตว์ของรัฐบาล ว่าโปร่งใส หรือไม่ อย่างไร.
ช.ชฎา
** โยนหิน“เก็บภาษีแดด-ขายไฟกลางคืนแพง”แค่มุกสับขาหลอก หลังกกพ.เคาะค่าเอฟทีเพิ่ม ไฟเขียวขึ้นค่าไฟฟ้า 2 งวดติด แต่ถ้าเผลอๆ ก็เอาแน่
ปล่อยของเรียกแขกต่อเนื่องไม่แพ้ใครเหมือนกัน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะRegulator ที่มีอำนาจกำหนดทิศทาง “ค่าไฟฟ้า”ให้ขึ้นหรือลงได้ .. ล่าสุดมีข่าวจาก วีระพล จิรประดิษฐกุล บอร์ด กกพ. ในฐานะโฆษกของหน่วยงาน ระบุว่ากำลังพิจารณา “แนวทางปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ โดยจะเรียกเก็บค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าในเวลากลางคืน เพื่อให้สะท้อนต้นทุนและปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น” .. ประมาณว่าต่อไปนี้ใครใช้ไฟฟ้าตอนกลางคืน จะจ่ายแพงกว่าตอนกลางวัน .. เชื่อสิว่าพอข่าวออกไป เจอก้อนหินเขวี้ยงกลับมา ก็ต้องออกมาแก้ตัว เอ้ยย..ชี้แจงในทำนองว่า อยู่ในระหว่างการศึกษาเท่านั้น ..
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อไม่นานมานี้ก็มีการ “โยนหินถามทาง”จากทาง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรื่องการเก็บภาษีโซล่าร์รูฟท็อป หรือที่เรียกกันว่า“ภาษีแดด”ออกมา .. พอเจอกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวาง ก็ถอยกรูด ชี้แจงเป็นพัลวันว่า สื่อมวลชนนำเสนอข่าวคลาดเคลื่อน พร้อมโยนลูกให้ กกพ. เป็นผู้พิจารณาศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าสำรองที่เหมาะสม สำหรับผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ว่า ขนาดกำลังผลิตติดตั้งเท่าใด จึงจะเข้าข่ายต้องถูกเรียกเก็บ .. และก็เป็น “กกพ.วีระพล” คนเดียวกันนี้แหละ ที่บอกว่า ยืนยันว่าจะ “ยัง”ไม่เรียกเก็บกับผู้ที่ติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปรายย่อย แต่อาจเรียกเก็บกับผู้ผลิตรายใหญ่“นำร่อง”ไปก่อน .. ไม่ต้องถอดรหัส-ตีความลึกซึ้งอะไร ก็แปลว่า กกพ.มีนโยบายที่จะเก็บ“ภาษีแดด”นั่นเอง
ทั้งไอเดียการเก็บภาษีไฟกลางคืน หรือการเก็บภาษีแดด คนที่ใช้แผงโซล่าร์ น่าจะมีผลพวงมาจากความนิยมในการใช้ “พลังงานทดแทน”ในช่วงตอนกลางวันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการติดตั้ง“โซล่าร์รูฟท็อป”หรือแผงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ติดตั้งบนหลังคา ทั้งในส่วนของครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรม ที่ขณะนี้ข่าวว่าต้นทุนลดลงไปพอสมควร ทำให้หน่วยงานไฟฟ้าของรัฐ “รายได้หด” ..ก็เลยออกอาการหนีตาย หันมา “โยนหินถามทาง”นู่นนี่นั่น ลดแรงจูงใจในการประหยัด-หรือใช้พลังงานทดแทนไปเสียนี่ .. หรือทำอะไรไม่ถูก ก็ประกาศขึ้นค่าไฟโต้งๆ กันไปเลย
ย้อนไปเมื่อเดือน เม.ย.60 กกพ.ก็มีมติเห็นชอบปรับ“ค่าเอฟที”หรือค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ งวดเดือน พ.ค.-ส.ค. เพิ่มขึ้น 12.52 สตางค์/หน่วย ตอนนั้นอวดว่า เป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 ปี 7 เดือน และบอกว่าจะตรึงราคาให้ผ่านพ้นปีนี้ไปก่อน .. แต่ 12 ก.ค.60 “กกพ.วีระพล”แถลงอีกหนว่า ที่ประชุม กกพ.มีมติให้ปรับขึ้นค่าเอฟที งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.60 อีก 8.87 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 2-3 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุผลคลาสสิก ราคาก๊าซ-ถ่านหินพุ่ง .. เห็นว่ามีการรับฟังความเห็นประชาชนในเว็บไซต์ กกพ. ตั้งแต่ 12-26 ก.ค. แต่จะประกาศค่าเอฟทีใหม่อย่างเป็นทางการ พรุ่งนี้ (1 ส.ค.)นี้ ก็ไม่รู้จะเปิดรับฟังความเห็นทำไม .. แถมยังหยอดไว้อีกว่า แนวโน้มค่าเอฟทีงวดหน้า ม.ค.-เม.ย.61 ยังมีทิศทางปรับขึ้นอีกด้วย กลายเป็นวงจรของผู้ที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าในบ้านนี้เมืองนี้ เริ่มจากขึ้นค่าไฟฟ้า แล้วก็มารณรงค์ประหยัดไฟ พอรายได้ลด ก็วนไปเริ่มที่การขึ้นค่าไฟอีก ..
ช่วงนี้ก็จะเนียนๆ หน่อย สับขาหลอกโดยการโยนหินเรื่องการหา“รายได้เสริม”ทั้งเรื่องภาษีแดดเอย ขึ้นค่าไฟกลางคืนเอย ช่วยลดกระแสเรื่องการขึ้นค่าไฟ 2 งวดติดไปได้ แต่อย่าเผลอนะ เรื่องรายได้เสริม นี่เขาเอาแน่ .. โดยใช้ กกพ. ที่ชื่อเหมือนเป็น “องค์กรอิสระ”แต่ความจริงไม่ได้อิสระ เนื่องจากการสรรหายังต้องผ่านคณะกรรมการที่ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน”ตั้งขึ้น .. ดังนั้นไอเดียบรรเจิดแต่ละอย่างของ กกพ.ช่วงนี้ ย่อมผ่านหูผ่านตา“บิ๊กโย่ง”พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน บ้างไม่มากก็น้อย .. ก็ได้แต่เตือนว่า ระวังเถอะ หากินบนความทุกข์ชาวบ้าน ที่จมปลักอยู่กับปัญหาปากท้องอยู่แล้ว จะกลายเป็นอีกปมที่รัฐบาลแก้ไม่ตก.
** 2 พรรคใหญ่รุมสหบาทา“ระบายข้าว”ข้อสงสัยที่ “บิ๊กฉัตร”ต้องตอบ บทพิสูจน์ความโปร่งใส “รัฐบาล คสช.”อย่าตั้งใจหลงประเด็นเหมือน “ท่านไก่อู”
ไม่เพียงแต่ประเด็นร้อน โค้งสุดท้ายคดีรับจำนำข้าวของ“รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ที่ทำเอา “รัฐบาลทหาร”เริ่มต้องเอาเท้าก่ายหน้าผากเท่านั้น .. เพราะในจังหวะที่คดีกำลังงวดถึงตอนจบ ก็เริ่มมีกระแสบูมเมอแรงย้อนศรกลับมาที่ “รัฐบาลทหาร”ในเรื่องของความไม่ชอบมาพากลของ “กระบวนการระบายข้าว” .. โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวราวกับนัดกันมาของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ “เพื่อไทย–ประชาธิปัตย์”ที่อาจดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่ก็เป็นคนละเรื่องเดียวกัน .. ฝ่ายเพื่อ ไทย มี “เสี่ยโจ้”ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต รมช.เกษตรฯ เป็นหัวหอกในการเปิดประเด็นความมั่วในการขายข้าวคน-ข้าวเน่า-ข้าวอาหารสัตว์ นำมาผสมปนเป ทำให้ข้าวคุณภาพดี ถูกทุบราคาลงไปเท่ากับข้าวเน่า-ข้าวเสีย ว่ากันว่ามีมีเงินทอนกันเป็นหมื่นล้านบาท ..
อีกด้านฝ่ายประชาธิปัตย์ เป็น “เดอะแจ๊ค” วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่เริ่มจากประเด็นการกีดกันเอกชนในการเข้าประมูลข้าวของ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จนทำให้ ดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ชี้แจงแบบ“กระต่ายขาเดียว”ว่า ทุกอย่างดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มี “นายกฯตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน และ “บิ๊กฉัตร”พล.อ.ฉัตรชัย สาลิกัลยะ รมว.เกษตรฯเป็นรอง
ประธานฯ จนถูกนำไปเป็นประเด็นว่ามีการ“แอบอ้างชื่อนายกฯ”นั่นแหละ แต่ก็ดูท่าทางฝ่ายรัฐ โดย “ท่านไก่อู”พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล จะตั้งใจหลงประเด็น บอกว่าความเคลื่อนไหวในเรื่องความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการระบายข้าว จากทั้งนักการเมือง-โรงสี เพราะหวังผลไปถึงการตัดสินคดีโครงการรับจำนำข้าวของ “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพวก ..
แน่นอนว่าฝ่ายเพื่อไทย คงอยากจะดิสเครดิตรัฐบาลไม่มากก็น้อย แต่หากพิเคราะห์ข้อมูลจาก 2 ฝั่ง รวมทั้งบรรดารายย่อย ที่เริ่มรวมตัวกันเรียกร้องความเป็นธรรมอย่างไม่มีอคติ ก็ต้องยอมรับว่า มีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นจริง ในการหาประโยชน์โดยมิชอบจากการระบายในยุครัฐบาล คสช.นี้ โดยเฉพาะการที่มี “ทหาร” เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทั้งการขู่โรงสี หรือการห้ามนักข่าวในการหาข้อมูล .. ถ้า “นายกฯตู่”บอกว่าเรื่องการยึดทรัพย์ “ยิ่งลักษณ์และพวก”กับผลการ พิพากษาคดีจำนำข้าวของศาลฎีกานักการเมือง เป็นคนละเรื่อง ก็ต้องบอกเช่นกันว่า ข้อมูลความผิดปกติของการระบายข้าวตอนนี้ ก็เป็นคนละเรื่องกับผลการตัดสินคดีเช่นกัน ..
อย่างข้อมูลล่าสุดที่ “เดอะแจ๊ค”เปิดเผยว่า มี “รัฐมนตรีคนหนึ่ง”ได้ใช้เฮลิคอปเตอร์แบบ MI-17 ของกองทัพบก บินจากกรุงเทพฯ ไปตรวจสอบโรงสีข้าวที่ จ.กำแพงเพชร ที่เข้าร่วมประมูลข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลเข้าสู่อุตสาหกรรมที่มิใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 1/2560 ฟังดูก็เหมือนเป็นเรื่องดี .. แต่ก็มี “ลับลมคมใน”ไม่น้อยกับการที่รัฐมนตรีคนที่ว่า ใช้ ฮ.ของกองทัพบก แทนที่จะเป็น ฮ.ของกระทรวงเกษตรฯ ตามภารกิจ รวมทั้งการ “ปิดลับ”ในเรื่องที่หารือกับทางโรงสี อีกด้วย .. เห็น“วัชระ”ฝากไปถาม “นายกฯตู่”ว่ารัฐมนตรีคนนั้น เป็นใคร แต่ถ้าจะให้ดี ให้ตรงเป้า ควรจะไปถาม “บิ๊กฉัตร”เจ้ากระทรวงเกษตรฯ ถึง“ตัวละครลับ”มากกว่า รวมทั้งการตรวจสอบเรื่องการประมูลข้าวดี-ข้าวเน่า-ข้าวอาหารสัตว์ของรัฐบาล ว่าโปร่งใส หรือไม่ อย่างไร.
ช.ชฎา