ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จอมอหังการผู้นำทำเนียบขาวน่าจะต้องฝืนใจลดความซ่าลงสักนิด เมื่อเจอกระแสความนิยมตกต่ำต่อเนื่องน่าใจหายสำหรับคณะพรรครีพับลิกันและทีมงานของทรัมป์ทุกย่างก้าว แทบทุกคำพูดของทรัมป์ล้วนสร้างแต่ความฉาวโฉ่ต่อเนื่อง
ชาวอเมริกันจำนวนมากน่าจะเบื่อหน่าย แต่ยังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรนอกจากเดินขบวนขับไล่เพื่อสร้างข่าว ขณะที่กระบวนการถอดถอนทรัมป์ให้ตกเก้าอี้ยังไม่มีพลังเพียงพอในช่วงนี้เมื่อการไต่สวนในเรื่องพฤติกรรมฉาวต่างๆ ยังไม่ถึงจุดวิกฤตเพียงพอ
ล่าสุดหมาดๆ วุฒิสภาได้ออกเสียงสกัดความพยายามของทรัมป์ที่จะโละนโยบายประกันสุขภาพ หรือโอบามาแคร์ เมื่อมีคะแนนโหวตไม่รับ 55-45 ในจำนวนนั้นมี 7 เสียงจาก ส.ว.พรรครีพับลิกันไม่เอาด้วยกับทรัมป์ ด้วยเงื่อนไขที่ว่าจะโละทิ้งต้องมีมาตรการใหม่มาแทน
ไม่ใช่โละทิ้ง แล้วปล่อยให้ชาวอเมริกันกว่า 30 ล้านคนไม่มีหลักประกันสุขภาพ เท่ากับว่าลอยแพผู้ลงคะแนนเสียงเลือกทั้ง ส.ว. และ ส.ส.ทำให้ดูเหมือนว่าการโละทิ้งโอบามาแคร์เป็นการทำอะไรก็แล้วแต่เพื่อหยุดยั้งนโยบายต่างๆ ที่ใช้ในยุคของโอบามา
เป็นการตีแสกหน้าทรัมป์ซึ่งกระเหี้ยนกระหือรือในการจะโละทิ้งโอบามาแคร์! ก่อนเรื่องนี้ทรัมป์ยังได้เขียนทวิตเตอร์ ประกาศให้เป็นที่รู้กันว่ารัฐบาลยุคทรัมป์ไม่ยอมให้พวกข้ามเพศเข้ารับราชการในกองทัพ และได้ปรึกษาหารือกับพวกนายพล นายทหารแล้ว
นี่เป็นการเปลี่ยนนโยบายจากยุคโอบามา ซึ่งได้อนุมัติให้พวกข้ามเพศเข้าเป็นทหารได้แต่ยังอยู่ในการพิจารณาขั้นสุดท้าย พวกข้ามเพศคือพวกที่มีพฤติกรรม ความรู้สึกไม่ตรงกับเพศที่แจ้งเกิด เช่น ตัวชายใจหญิงหรือตัวหญิงใจชาย เป็นต้น แบบนี้ทรัมป์ไม่เอาเด็ดขาด
ประเด็นนี้ต้องรอปฏิกิริยาจากกลุ่มพวกข้ามเพศว่าจะออกมาโจมตีทรัมป์หรือไม่ ในยุคที่กฎหมายในบางรัฐของสหรัฐฯ และบางประเทศในยุโรปยอมให้มีการแต่งงานของคนในเพศเดียวกันได้ อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ในการประกอบอาชีพ แต่จะเกี่ยวโยงเรื่องสิทธิของมนุษย์
ส่วนเรื่องโอบามาแคร์ยังไม่จบ ทรัมป์และพวกยังมีโอกาสนำเสนอร่างกฎหมายซ้ำอีกแต่ต้องมีการดัดแปลงให้เป็นการโละทิ้ง และมีมาตรการใหม่มาแทนเพื่อประชาชน
ทรัมป์จะรู้สึกเสียหน้าหรือไม่ คงเดาไม่ยาก เพราะทรัมป์คงไม่แคร์ ยังปากดีหาเรื่อง ตำหนิ ด่าว่าคนอื่นต่อไป ไม่เคยโทษตัวเอง ทั้งๆ ที่หลักฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมฉาวปรากฏ และยังโดนสอบสวนหลายเรื่องโดยตำรวจเอฟบีไอ กรรมาธิการวุฒิสภาและคองเกรส
ทรัมป์ได้พยายามหลายครั้งที่จะโละโอบามาแคร์ แต่มีเสียงสนับสนุนไม่เพียงพอ ล่าสุดการลงคะแนนต้องรอวุฒิสมาชิกคนสำคัญคือ จอห์น แมคเคน ซึ่งต้องผ่าตัดเนื้องอกในสมอง เมื่อมาทำงานตามปกติก็กลายเป็นว่าแมคเคนเป็น 1 เสียงที่ร่วมโหวตค้านการโละ
การแตกแถวถึง 7 เสียงของวุฒิสมาชิกรีพับลิกันแสดงให้เห็นว่ากระแสของความไม่จำเป็นต้องโหวตตามมติพรรค และความหมั่นไส้ทรัมป์เริ่มปรากฏให้เห็นและอาจจะต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีวุฒิสมาชิกหลายคนไม่พอใจทรัมป์ในการประจานรัฐมนตรียุติธรรมยับเยิน
เจฟฟ์ เซสชั่นส์ รมต.ยุติธรรม มาจากวุฒิสมาชิก จัดว่าเป็นพวกอยู่ในอันดับต้นๆ ในกลุ่มนักการเมืองที่สนับสนุนทรัมป์อย่างจริงจัง เป็นตัวหลักในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ทำให้เกิดกระแสความนิยมจนผลสุดท้ายทรัมป์ได้ชัยชนะการเลือกตั้ง
เซสชั่นส์ได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็น รมต.ยุติธรรมซึ่งขณะนั้นเริ่มมีเรื่องฉาวเกี่ยวกับการแฮ็คข้อมูลของฮิลลารี คลินตัน โดยรัสเซียเพื่อช่วยให้พวกทรัมป์มีข้อมูลเล่นงานคู่ต่อสู้ ดังนั้นทรัมป์คาดว่าการให้เซสชั่นส์คุมกระทรวงยุติธรรมคงจะดูแลให้เรื่องไม่ร้ายแรงเกินไป
เมื่อทรัมป์ไล่ผู้อำนวยการเอฟบีไอ เจมส์ โคมีย์ ออกจากตำแหน่ง และมีการสอบสวนทรัมป์และพวก เซสชั่นส์ประกาศว่าจะขอตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับการสอบสวนเพราะจะถูกมองว่าเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลถึงขั้นมีความผิดในการใช้อำนาจในทางมิชอบ ทรัมป์เริ่มไม่พอใจ
จากนั้นกระบวนการไต่สวนเริ่มรุกหนักโดยเอฟบีไอและคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ทำให้ทรัมป์อารมณ์ขุ่นมัวต่อเนื่อง การสอบสวนมีประเด็นความสัมพันธ์แฝงเร้นกับรัสเซีย เรื่องลักลอบฉกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ช่วงเลือกตั้ง ความสัมพันธ์ในธุรกรรมทางการเงินกับรัสเซีย
โดนสอบสวนมีทั้งลูกชาย ลูกเขย ผู้อำนวยการฝ่ายเลือกตั้งของพรรค และตัวทรัมป์ต้องไปให้ปากคำด้วย ที่น่าห่วงคือการให้ถ้อยคำขัดแย้งกันเอง ทำให้มีปัญหาด้านความน่าเชื่อถือ นำไปสู่การขุดคุ้ยต่อเนื่องโดยสื่อกระแสหลัก เช่น หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ซีเอ็นเอ็น
เมื่อการสอบสวนเริ่มเข้มข้น ปรากฏหลักฐานหวาดเสียวว่าทรัมป์และพวกน่าจะมีปัญหาแน่ ทำให้ทรัมป์โวยวายผ่านทวิตเตอร์ โจมตีเซสชั่นส์ว่าถ้ารู้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคดีที่ตัวเองเจออยู่ก็จะไม่แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรียุติธรรม และกาลเวลาจะบอกว่าควรทำอย่างไร
ความพิสดารก็คือแทนที่จะเรียกเซสชั่นส์มาคุย ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ให้ลาออก หรือประกาศปลดออกไป แต่ไม่ทำอย่างนั้น ทรัมป์เลือกที่จะด่าเซสชั่นส์แบบประจานให้ได้อาย กดดันด้วยคำพูดเจ็บแสบดูออกว่าเป็นการบีบบังคับให้เซสชั่นส์อยู่ไม่ได้ ต้องลาออก
นักการเมือง สื่อ และประชาชนที่ชอบและไม่ชอบทรัมป์มองว่าการประจานลูกน้องให้อายนั้น ไม่ใช่วิสัยหรือพฤติกรรมของคนที่เป็นถึงประธานาธิบดีผู้นำประเทศ ควรมีจิตสำนึกคิดได้ว่าควรทำอย่างไรหรือไม่ควรทำ ใช้อารมณ์และความแค้นมาจัดการปัญหาของตัวเอง
โฆษกทำเนียบข่าว ฌอน สไปเซอร์ เพิ่งลาออกไปด้วยความบอบช้ำ ขณะที่ทรัมป์แต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรมาแทนคนก่อน รัฐบาลทรัมป์เหมือนเรืออยู่กลางมหาสมุทรเผชิญมรสุมรุนแรง ตัวกัปตันคุ้มดีคุ้มร้าย ลูกเรือระส่ำระสาย เรือรั่วอีกต่างหาก
เซสชั่นส์คงอยู่ยาก น่าจะมีคนทยอยออกอีก เริ่มมีการมองว่า รมต.ต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน จะอยู่ได้หรือไม่เพราะเคยโดนทรัมป์หักหน้าด้วยถ้อยคำขัดแย้งกันหลายครั้ง