เอเจนซีส์ – “ทรัมป์”ล้มล้างอีกหนึ่งนโยบายสำคัญของ “โอบามา” ด้วยการประกาศไม่รับคนข้ามเพศเป็นทหาร เรียกเสียงประณามระงมจากสมาชิกสภาทั้งสองพรรค รวมถึงกลุ่มสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ยังสร้างความงุนงงให้กับเพนตากอนที่ได้รู้ข่าวนี้พร้อมคนทั่วโลกทางทวิตเตอร์ อย่างไรก็ดี สมาชิกรีพับลิกันบางคน ตลอดจนองค์กรเสรีนิยมต่างออกมาสรรเสริญการตัดสินใจของผู้นำสหรัฐฯ
วันพุธ (26 ก.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญทางทวิตเตอร์ โดยระบุว่า กองทัพสหรัฐฯ ควรโฟกัสกับ “ชัยชนะท่วมท้น” และไม่ต้องรับภาระค่ารักษาพยาบาล “บานเบอะ” และความวุ่นวายไร้ระเบียบเพราะทหารข้ามเพศ
ทรัมป์ยังอ้างว่า หลังจากปรึกษาทหารระดับนายพลและผู้เชี่ยวชาญทางทหารหลายคน เขาได้รับคำแนะนำให้รัฐบาลงดรับคนข้ามเพศเข้าสู่กองทัพทุกหน่วยเหล่า
อย่างไรก็ดี ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้ระบุว่า ทหารหรือผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำดังกล่าวคือใคร
คำประกาศของทรัมป์ทำให้กองทัพงงเป็นไก่ตาแตก เนื่องจากกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนการที่คณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ริเริ่มไว้ ในการยอมรับคนข้ามเพศเข้ารับราชการทหาร รวมทั้งอนุญาตให้คนข้ามเพศที่รับราชการอยู่แล้วเปิดเผยตัวตน
นาวาเอกเจฟฟ์ เดวิส โฆษกกระทรวงกลาโหม ถึงกับโบ้ยให้นักข่าวไปสอบถามจากทำเนียบขาวเอง
ทางด้าน ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวอธิบายเรื่องนี้ว่า สืบเนื่องจากทรัมป์คิดว่า นโยบายคนข้ามเพศของคณะบริหารชุดที่แล้วทำให้เกิดความวุ่นวายไร้ระเบียบ รวมทั้งบ่อนทำลายความพร้อมของกองทัพ และความสัมพันธ์ที่ดีในหมู่ทหาร และย้ำว่า การตัดสินใจนี้อิงกับเหตุผลด้านการทหารล้วนๆ
เธอบอกว่า การตัดสินใจของทรัมป์มาจากการหารืออย่างครอบคลุมกับทีมความมั่นคงแห่งชาติ และว่า จิม แมตทิส รัฐมนตรีกลาโหมที่อยู่ระหว่างลาพัก ได้รับแจ้งเมื่อวันอังคาร (25) หลังจากทรัมป์ตัดสินใจเรื่องนี้
สำหรับแมตทิสได้แต่ตอบว่า การตัดสินใจนี้เป็นผลจากการหารือ เมื่อถูกนักข่าวซักว่า ประธานาธิบดีมาขอคำปรึกษาจากตนเองหรือเพนตากอนหรือไม่
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แมตทิสแถลงว่า กองทัพสหรัฐฯทั้ง 5 เหล่า อันได้แก่ กองทัพบก, กองทัพเรือ, กองทัพอากาศ, เหล่านาวิกโยธิน, และกองกำลังยามฝั่ง จะชะลอการเปิดรับคนข้ามเพศเข้ารับราชการจนถึงวันที่ 1 มกราคมปีหน้า เพื่อจัดการรายละเอียดต่างๆ ในขั้นตอนสุดท้าย
การประกาศของทรัมป์ทำให้เกิดคำถามที่ไร้คำตอบตามมามากมาย เช่น ทหารข้ามเพศที่รับราชการในปัจจุบันจะถูกปลดหรือไม่
แซนเดอร์แจกแจงว่า ทำเนียบขาวและเพนตากอนจะร่วมกันพิจารณาประเด็นต่างๆ ต่อไป
ทั้งนี้ ผลการศึกษาของแรนด์ คอร์เปอเรชันที่มีการนำไปอ้างอิงอย่างกว้างขวาง ระบุว่า ปีที่ผ่านมา กองทัพอเมริกันมีทหารข้ามเพศระหว่าง 1,320-6,630 คน ในหมู่ทหารที่ประจำการทั้งสิ้น 1.3 ล้านคน อย่างไรก็ดี กลุ่มสิทธิมนุษยชนเชื่อว่า ตัวเลขจริงน่าจะอยู่ที่ 15,000 คน
รายงานของแรนด์ลงรายละเอียดว่า มีทหารจำนวนน้อยมากที่ต้องการแปลงเพศเนื่องจากส่งผลกระทบต่อความพร้อมในการประจำการหรือการสู้รบ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับการแปลงเพศของทหารข้ามเพศอยู่ที่ประมาณ 2.4-8.4 ล้านดอลลาร์ จากงบประมาณด้านสุขอนามัยของเพนตากอนที่มากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์
วิกกี้ ฮาร์ตซ์เลอร์ สมาชิกรัฐสภาสังกัดรีพับลิกันพรรคเดียวกับทรัมป์ โจมตีว่า รายงานของแรนด์มีข้อบกพร่องมากมาย และยกย่องว่า การประกาศของทรัมป์จะช่วยยกระดับความพร้อมของกองทัพ เนื่องจากการผ่าตัดแปลงเพศทำให้ทหารต้องขาดประจำการเกือบ 300 วัน
โทนี เพอร์กินส์ ประธานแฟมิลี รีเสิร์ช เคาน์ซิล ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลของกลุ่มคริสเตียนสายอนุรักษนิยม ชื่นชมนโยบายของทรัมป์ เนื่องจากทหารอเมริกันไม่ควรถูกบังคับให้เข้าอบรมเกี่ยวกับความอ่อนไหวของคนข้ามเพศนานเป็นชั่วโมง และถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปยังสิ่งที่ถูกประกาศว่าเป็นความถูกต้องทางการเมืองเช่นนี้
ทว่า อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนจากพรรคเดโมแครต โจมตีนโยบายใหม่ของทรัมป์โดยระบุว่า ชาวอเมริกันที่รักชาติทุกคนคู่ควรที่จะได้รับใช้ชาติ และกองทัพควรต้องอ้าแขนรับ
แอช คาร์เตอร์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมในสมัยโอบามา และเป็นผู้กำกับดูแลนโยบายเปิดรับคนข้ามเพศเข้ารับราชการทหาร มองว่า การตัดสินใจของทรัมป์เป็นการส่งสัญญาณผิดๆ เนื่องจากจะทำให้มีคัดเลือกทหารโดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์อื่นๆ แทนที่จะคัดเลือกจากความสามารถ
สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกันประณามนโยบายของทรัมป์ว่า เลวร้าย ขณะที่จอห์น แมคเคน ประธานคณะกรรมาธิการการทหารของวุฒิสภาจากรีพับลิกัน ที่เคยเป็นทหารเรือและเชลยศึกในสงครามเวียดนาม วิจารณ์ว่า คำประกาศของทรัมป์ไม่ชัดเจนและไม่เหมาะสม และทางที่ดีควรให้เพนตากอนศึกษาประเด็นนี้ซึ่งถือว่า ซับซ้อนมากก่อนส่งให้แมตทิส รวมทั้งผู้นำทางทหารและรัฐสภา ตรวจสอบอีกรอบก่อนนำมาบังคับใช้
กลุ่มสิทธิพลเมืองต่างๆ ขู่ฟ้องร้องเพื่อให้ศาลล้มเลิกนโยบายล่าสุดของทรัมป์ โดยอ้างอิงรัฐธรรมนูญที่รับประกันว่า ประชาชนทุกคนจะได้รับความคุ้มครองโดยเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย นอกจากนี้ยังมีคนหลายร้อยคนไปประท้วงหน้าศูนย์รับเกณฑ์ทหารในย่านไทม์สแควร์ของแมนฮัตตัน
เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งในคณะบริหารกล่าวว่า ทรัมป์ตัดสินใจว่า จะลงมือเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ติดแค่จังหวะเวลาเนื่องจากเหล่าที่ปรึกษายังสรุปไม่ได้ว่า ควรตรวจสอบนโยบายก่อนประกาศหรือไม่
ขณะเดียวกัน การประกาศของทรัมป์ยังทำให้ประเด็นร้อนในวอชิงตันเปลี่ยนไปชั่วคราว จากเรื่องที่ทำเนียบขาวกำลังถูกสอบสวนหาความเป็นไปได้ว่าสมรู้ร่วมคิดกับรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วหรือไม่
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์ ซึ่งเคยประกาศปกป้องเลสเบียน เกย์ ไบเซ็กชวล และคนข้ามเพศสมัยหาเสียงเมื่อปีที่แล้ว พุ่งเป้าโจมตีคนข้ามเพศ ตัวอย่างเช่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทรัมป์เพิกถอนคำสั่งของโอบามาที่ต้องการคุ้มครองนักเรียนข้ามเพศด้วยการอนุญาตให้นักเรียนใช้ห้องน้ำตามเพศสภาพของตนเอง