ว่ากันว่า...เดิมที หรือก่อนที่จะเกิด “สงครามกลางเมือง” ในปี ค.ศ. 2011 นั้น เส้นเลือดเศรษฐกิจหลักของซีเรียอันได้แก่แหล่งทรัพยากรน้ำมันและแก๊ส ได้ถูกมอบสัมปทานให้กับบริษัทธุรกิจพลังงานของตะวันตกเป็นหลัก เช่นบริษัท “Shell” หรือ “Total” ฯลฯ เป็นต้น ในขณะที่จีนนั้น...เริ่มพยายามเข้าไปมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมประเภทนี้ มูลค่าไม่น้อยไปกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนที่ไฟสงครามจะถูกจุดขึ้นมา...
แต่หลังจากที่ควันไฟสงครามค่อยๆ จางลงไปเรื่อยๆ...เมื่อพวก “ผู้ก่อการร้ายสายตึง” อย่างพวก “Daesh” หรือ “ISIS” ที่มีประเทศตะวันตก อเมริกา และพันธมิตรในตะวันออกกลางอย่างซาอุฯ ออกอาการแพ้แล้ว-แพ้เล่า ทั้งในซีกอิรักและซีเรีย จนสุดท้าย...ถึงกับทำให้รัฐบาลของ “ทรัมป์บ้า” ต้องตัดสินใจสั่งการให้ “CIA” ยุติโครงการช่วยเหลือไม่ว่าด้านเงินทุน เครื่องมือ อาวุธยุทโธปกรณ์ ต่อบรรดา “ผู้ก่อการร้ายสายหย่อน” หรือ “กบฏสายกลาง” ในซีเรียไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นักวิเคราะห์สถานการณ์ระหว่างประเทศ อย่าง “นายPepe Escobar” จึงได้คาดการณ์ไว้ในข้อเขียนที่เผยแพร่อยู่ในเอเชียไทมส์ออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมาประมาณว่า จีนนั้น...คงไม่ได้มองเห็นความสำคัญของซีเรียแต่เฉพาะเรื่องของแหล่งทรัพยากรน้ำมันและแก๊สอีกต่อไปเท่านั้น หรือ “จีนไม่เคยลืมเลยว่า...ซีเรียนั้น คือผู้เคยควบคุมดินแดนระหว่างฝั่งยุโรปและแอฟริกา มาตลอดยุคเส้นทางสายไหมเมื่อครั้งอดีต ไม่ว่าครั้งที่สินค้าถูกขนข้ามทะเลทรายผ่านเมือง Palmyra แล้วถูกส่งข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไปยังกรุงโรมผ่านดินแดนซีเรีย หรือแม้แต่ครั้งที่ Palmyra ได้ล่มสลาย การหันมาใช้เส้นทาง Euphrates เชื่อมต่อไปยัง Aleppo และ Antioch ก็ยังคงตามมา...”
ดังนั้น... “ปักกิ่งน่าจะได้วางแผนมานานหลายปีแล้ว โดยรัฐบาลดามัสกัสเองก็มีส่วนร่วมด้วย ที่จะใช้ซีเรียเป็นศูนย์กลางอีกส่วนหนึ่งเพื่อรองรับบริษัทธุรกิจจากจีน ตามแนวคิดริเริ่มเส้นทางสายไหมใหม่ หรือ One Belt, One Road (OBOR) อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเหตุนี้...จึงไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุที่ทูตซีเรียประจำกรุงปักกิ่ง นายImad Moustapha จะประกาศว่าจีน-รัสเซีย-อิหร่าน คือตัวเล่นแรกๆ กว่าใครเพื่อน สำหรับการลงทุนฟื้นฟูบูรณะโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดในซีเรีย ภายหลังจากที่สงครามยุติ” พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ใช่แต่เฉพาะน้ำมันและแก๊สเท่านั้น แต่ความพยายามเข้าไปมีบทบาทในการฟื้นฟูบูรณะโครงสร้างพื้นฐานในซีเรียของจีน โดยมีธนาคาร “AIIB” พร้อมอัดฉีดในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าภาคอุตสาหกรรม เกษตร การติดต่อคมนาคมขนส่ง ฯลฯ ย่อมทำให้ซีเรียหลังสงคราม กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงทางเศรษฐกิจ ที่เชื่อมโยงซีเรีย-อิรัก-อิหร่าน เข้ากับโครงการ One Belt, One Road อันถูกขนานว่าคือ “โครงการเปลี่ยนโลก” หรือ “เปลี่ยนระบบโลก” ในอนาคตเบื้องหน้านั่นแล...
อะไรที่เคยเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ซีเรียเป็นไปในแนวนี้...นับวันจะถูกรื้อ ถูกถอนไปพร้อมๆ กับแนวโน้มของสงครามที่กำลังใกล้จะยุติในอีกไม่นาน-ไม่ช้า แม้แต่ประเทศเล็กๆ แต่ใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มในทางเศรษฐกิจ อย่างกาตาร์ที่เคยเป็นผู้เล่นรายสำคัญในการสนับสนุนพวกผู้ก่อการร้ายไม่ว่าสายตึง สายหย่อน ให้หาทางโค่นล้มรัฐบาล “อัล-อัสซาด” ลงไปให้จงได้ มาถึง ณ ขณะนี้...ก็ได้เริ่มย้ายข้าง ย้ายฝ่าย หันไปจูบปากกับอิหร่านและตุรกี เลิกคิดที่จะเล่นงานรัฐบาลซีเรีย ตามความปรารถนา ความต้องการของพี่ใหญ่ซาอุดีอาระเบียอีกต่อไปแล้ว ส่วนอิสราเอล...ที่ไม่อยากให้สงครามในซีเรียจบลงไปได้ง่ายๆ พยายามเปิดฉากเล่นงานพวกฮิซบอลเลาะห์ หรือฮิซบุลลอฮ์ (Hezbollah) บริเวณพรมแดนซีเรียมิได้ขาด มาบัดนี้ก็คงต้องหันไปสาละวนอยู่กับปัญหาความขัดแย้งทางศาสนา ในกรณีมัสยิด “อัลอักซอ” หรือกรณีการใช้ศาสนสถาน “โดมแห่งศิลา” บนภูเขาวิหารกับชาวปาเลสไตน์ ชนิดอาจบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งกับโลกมุสลิมเอาง่ายๆ...
ด้วยเหตุนี้...การเดินหน้าไปตามเส้นทาง One Belt, One Road ของจีน โดยที่แทบไม่ต้องออกเรี่ยวออกแรง หรือต้องใช้ “อำนาจทางทหาร” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย อาศัยกรรมวิธีนิ่มๆ หรือการใช้ “พลังอำนาจอย่างอ่อน” แต่สามารถทะลุทะลวงช่องทางแต่ละช่องทาง ยกระดับ “โครงการเปลี่ยนโลก” ให้เข้าใกล้ความจริงยิ่งขึ้นไปทุกที ต้องถือเป็นอะไรที่...ร้ายกาจเอามากๆ!!! ชนิดอาจเรียกได้ว่า...เป็น “ข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธ” เนื่องจากภายใต้ข้อเสนอเหล่านี้ มักถูกนำเสนอไปพร้อมๆ กับกลิ่นอายของ “สันติภาพ” หรือการค้า การขาย ต่างไปจากข้อเสนอของคุณพ่ออเมริกาแบบคนละเรื่อง คนละม้วน ที่มักต้องตามมาด้วย “สงคราม” ซะทุกทีไป...