“ไม่เมาเหล้า แต่เรา ยังเมารัก
สุดจะหัก ห้ามจิต คิดไฉน
ถึงเมาเหล้า เช้าสาย ก็หายไป
แต่เมาใจ นี้ประจำ ทุกค่ำคืน”
กลอน “เมาเหล้า-เมารัก” ของสุนทรภู่ ประทับใจไม่รู้ลืมตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย กระทั่งวัยชราแย้มฝาโลง
“เมา” ความหมายโดยปริยาย คือการหลงใหลในสิ่งที่ได้มา หรือเป็นอยู่ เช่น เมารัก เมาอำนาจ เมากิจกรรม เป็นต้น
“กิจกรรม” หมายถึงกิจการ, งาน, ธุระ หรือการปฏิบัติอย่างหนึ่งของผู้เรียน เพื่อให้เรียนรู้
เมากิจกรรม
ข้อมูลการปกครองส่วนภูมิภาคประเทศไทย พ.ศ. 2559... ประเทศไทยมี 77 จังหวัด 878 อำเภอ 7,255 ตำบล 74,965 หมู่บ้าน
เอาง่ายๆ จำง่ายๆ แบบประมาณเท่ากับ 80 จังหวัด 800 อำเภอ 8,000 ตำบล 80,000 หมู่บ้าน
ข้อมูลด้านประชากร พ.ศ. 2559...เท่ากับ 65,729,098 คน ประมาณ 66 ล้านคน
ไม่ว่าโครงการใดของกระทรวงใด ก็ต้องลงไปจัดกิจกรรมที่หมู่บ้านจำนวน 8 หมื่นหมู่บ้านทั้งนั้น
กระทรวงเป็นภาคทฤษฎี หมู่บ้านเป็นภาคปฏิบัติ
มองด้านการศึกษาซึ่งเป็นเบ้าหลอมของการผลิตคน มีสถานศึกษาทุกระดับในประเทศไทย ก็คงหลายหมื่นแห่ง แต่ละภาคเรียน จะมีการเรียนการสอนหลายวิชา แต่ละวิชาก็มีกิจกรรมบวกกับโครงการของกระทรวงต่างๆ ที่ต้องทำกิจกรรมสนองโครงการนั้นๆ
เพียงแค่นี้ก็เห็นชัดเจนว่า โครงการมากมาย กิจกรรมมากหลาย บุคลากรในสถานที่นั้นๆ ทำได้อย่างไร?
ทำได้สบม-สบายมาก เราก็ทำแบบขอไปทีคือ...อย่างพอให้เสร็จๆ พ้นๆ ไปอย่างพอเอาตัวรอด...ถ่ายรูป เขียนรายงานให้มากบวก ส่งตามกำหนดเพียงเท่านี้ก็จบ
เมินทำแก่นสาร
ทำแบบขอไปทีแบบนี้ มันก็ด้อยคุณภาพ แก่นสารไม่อยู่ในสายตา ทำได้อย่างไร? (เจ้าของโครงการถาม)
กิจกรรมมากเกินจนเมามาย ครองสติไม่ได้ จะไปรู้ได้อย่างไรว่า อันไหนสาระ อันไหนอสาระ ที่ทำไปมีเอกสารรับรองว่าได้ทำแล้ว ก็ดีแล้ว จะเอาดีเลิศประเสริฐศรีกว่านี้ ฉันเป็นคนนะ ไม่ใช่เครื่องจักร คนสั่งให้ทำโน่นนี่ คงเมานะ เชื้อเมาเลยติดมาถึงฉัน ทำให้ฉันเมาทุกวัน (คนทำกิจกรรมตอบ)
มิใช่เมาเหล้า มิใช่เมารัก แต่เมากิจกรรมที่ทำตามคำสั่ง
ทำอะไรไม่พอดี พองาม อยากได้แต่ผลงาน เอาไปอ้างกันว่าฉันเก่ง ฉันขยัน ฉันทำดี ฉันเลิศ (สมควรได้หลายๆ ขั้น ได้เลื่อนตำแหน่งสูงๆ)
เราทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นครู และเป็นศิษย์
ศิษย์ย่อมมีครู
ครูสูงสุดของเราที่เรียกว่า “บรมครู” คือพระพุทธเจ้า ท่านสอนว่า...
“วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน-เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ”
คนที่ถึงพร้อมหรือสมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤตินั้น ถือว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา
นี่คือเป้าหมายของการศึกษา เป้าหมายของทุกโครงการ เป้าหมายของทุกกิจกรรม เป้าหมายของทุกหมู่บ้าน เราต้องตั้งไว้ให้สูงสุด ไปได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
เป้าหมายสูงสุดเช่นนี้ อยู่ที่จุดศูนย์กลาง ส่วนกิจกรรมซึ่งมีวิธีแตกต่างกันไป อยู่ที่เส้นรอบวงที่สุดทุกกิจกรรมก็ไปถึงจุดศูนย์กลาง เฉกเช่น แม่น้ำทุกสายไหลไปรวมกันที่มหาสมุทรด้วยกันทั้งนั้น
จริงๆ แล้วเปล่าเลย การศึกษาที่สถานศึกษา และหมู่บ้าน ยังเล่นยังเมาอยู่ที่เส้นรอบวง ยังหลับยังฝันอยู่เหมือนเดิม หัดมองตัวเองบ้าง มองคนอื่นบ้าง ก็อาจถึงบางอ้อสบายๆ
ขยะเต็มบ้าน
“ขยะ” หรือ “ขี้ฝอย” คือส่วนเหลือใช้จากฝีมือมนุษย์
ถ้าสิ่งไม่ดีหรือผลร้าย ที่เหลือเดนตกค้างมาจากอดีต เรียกว่า “ขยะประวัติศาสตร์”
ถ้าเป็นคนเลวหรือส่วนเลวที่สังคมไม่ปรารถนา เรียกว่า “ขยะสังคม”
ทุกวันนี้ขยะเต็มบ้านเต็มเมืองจนกลายเป็น “ขยะโลก”
ตามธรรมดาของมนุษย์ ชอบซื้อสิ่งของที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว ชอบซื้อสิ่งไม่จำเป็นมากกว่าสิ่งจำเป็น นั่นคือ...นิยมซื้อขยะ ตามกระแสโลกโฆษณา ทำให้รกบ้านรกเรือน แต่ละห้องอัดแน่นไปด้วยขยะ เบียดเบียนที่พักผ่อนหลับนอน
นั่นเพียงขยะวัตถุ และยังมีอีกขยะที่หนักกว่า คือขยะใจ หรือขยะภายใน จนหาความสงบไม่ได้ หาบ้านไม่เจอ
หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านกล่าวว่า... “บ้านที่แท้จริงของเรา คือความรู้สึกที่มันสงบ ความสงบนั่นแหละ คือบ้านที่แท้จริงของเรา”
ทุกวันนี้ บ้านราคาต่ำกว่าล้านอยู่ไม่ได้ มันเหม็นสาบ ต้องสร้างราคาร้อยล้านพันล้าน จึงจะสมหัวโขนที่สวมใส่ แต่บ้านดังกล่าวก็หาความสงบไม่ได้ มีแต่ฝันและหลับใหลทั้งกลางวันและกลางคืน
โถ...เพื่อนร่วมโลกผู้น่าสงสาร ของดีมีอยู่แล้วที่ตัวเอง กลับไม่สนใจ ทะเยอทะยานใฝ่หาขยะ ทั้งขยะภายนอกและขยะภายในมาทับถมตัวเอง แล้วก็ครวญคราง ทุกข์หนอๆๆ อยากหลุดพ้นจากทุกข์เหลือเกิน เทวดาฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยด้วยๆๆ
สืบสานหลับยืน
ตราบใดที่เรายังเห็นผิดเป็นถูกอยู่ เห็นความมืดเป็นความสว่างอยู่ ก็ป่วยการที่จะชี้แนะอะไร คงปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของสัตว์โลก
ผู้มีอำนาจวาสนาดี ได้ปกครองบ้านปกครองเมืองทั้งหลาย มักพูดเสมอว่า...
“อยากให้ความขัดแย้งหมดไปจากสังคม ความปรองดองสมานฉันท์ก็จะเกิดขึ้น” นับว่าเป็นความปรารถนาที่ดี แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ มันอาจเป็นไปได้ยามฝันยามหลับเท่านั้น
“เราไม่ขัดแย้งกับโลก แต่โลกย่อมขัดแย้งกับเรา”
นั่นคือ อมฤตพจนา ของพระพุทธเจ้า
ความขัดแย้งเป็นธรรมดาของโลก ยาที่จะพอแก้ความขัดแย้งได้ก็คือ ความเสมอภาคเท่าเทียมกันของผู้คน ผู้นำผู้ที่มีอำนาจต้องตรงไปตรงมา ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ปากว่าตาขยิบ ไม่มือถือสาก ปากถือศีล ไม่มุสาเป็นสรณะ เห็นคนเป็นคน ฯลฯ
ผู้นำผู้มีอำนาจทั้งหลาย ทำได้หรือเปล่า ถ้าทำได้ก็พอแก้ไขได้
ถ้าผู้นำผู้มีอำนาจ ไม่กล้าทำก่อน เราก็จะอยู่ไปอย่างนี้ ขยะเต็มบ้าน สืบสานหลับยืนต่อไป ยันลูกหลานเหลนโหลนต่อไปๆๆ ไม่สิ้นสุด
เห็นแล้วเป็นอย่างไร?
ไม่เป็นอย่างไร เพราะนั่นคือความจริง ตามที่มันเป็น
ชีวิตมีสองมิติ คือหลับยืน และตื่นรู้ ถ้าพลังตื่นรู้อ่อน หลับยืนหรือหลับใหลก็ครองตน หากหลับยืนอ่อน ตื่นรู้แข็ง ตื่นรู้ก็จะครองตน ตถตา-เช่นนั้นเอง
“เมากิจกรรม
เมินทำแก่นสาร
ขยะเต็มบ้าน
สืบสานหลับยืน”
ใครๆ ก็อยากให้สังคมนี้ ประเทศนี้ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงพยายามคิดโครงการต่างๆ กิจกรรมต่างๆ ขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนแปลงผู้คน และสังคมบ้านเมือง
ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง คนอื่นเปลี่ยนแปลงเราไม่ได้ เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คนหลับเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นอกจากคนตื่นเท่านั้น จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
ปัญหาอยู่ที่ว่า...คุณตื่นหรือยัง?
สุดจะหัก ห้ามจิต คิดไฉน
ถึงเมาเหล้า เช้าสาย ก็หายไป
แต่เมาใจ นี้ประจำ ทุกค่ำคืน”
กลอน “เมาเหล้า-เมารัก” ของสุนทรภู่ ประทับใจไม่รู้ลืมตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย กระทั่งวัยชราแย้มฝาโลง
“เมา” ความหมายโดยปริยาย คือการหลงใหลในสิ่งที่ได้มา หรือเป็นอยู่ เช่น เมารัก เมาอำนาจ เมากิจกรรม เป็นต้น
“กิจกรรม” หมายถึงกิจการ, งาน, ธุระ หรือการปฏิบัติอย่างหนึ่งของผู้เรียน เพื่อให้เรียนรู้
เมากิจกรรม
ข้อมูลการปกครองส่วนภูมิภาคประเทศไทย พ.ศ. 2559... ประเทศไทยมี 77 จังหวัด 878 อำเภอ 7,255 ตำบล 74,965 หมู่บ้าน
เอาง่ายๆ จำง่ายๆ แบบประมาณเท่ากับ 80 จังหวัด 800 อำเภอ 8,000 ตำบล 80,000 หมู่บ้าน
ข้อมูลด้านประชากร พ.ศ. 2559...เท่ากับ 65,729,098 คน ประมาณ 66 ล้านคน
ไม่ว่าโครงการใดของกระทรวงใด ก็ต้องลงไปจัดกิจกรรมที่หมู่บ้านจำนวน 8 หมื่นหมู่บ้านทั้งนั้น
กระทรวงเป็นภาคทฤษฎี หมู่บ้านเป็นภาคปฏิบัติ
มองด้านการศึกษาซึ่งเป็นเบ้าหลอมของการผลิตคน มีสถานศึกษาทุกระดับในประเทศไทย ก็คงหลายหมื่นแห่ง แต่ละภาคเรียน จะมีการเรียนการสอนหลายวิชา แต่ละวิชาก็มีกิจกรรมบวกกับโครงการของกระทรวงต่างๆ ที่ต้องทำกิจกรรมสนองโครงการนั้นๆ
เพียงแค่นี้ก็เห็นชัดเจนว่า โครงการมากมาย กิจกรรมมากหลาย บุคลากรในสถานที่นั้นๆ ทำได้อย่างไร?
ทำได้สบม-สบายมาก เราก็ทำแบบขอไปทีคือ...อย่างพอให้เสร็จๆ พ้นๆ ไปอย่างพอเอาตัวรอด...ถ่ายรูป เขียนรายงานให้มากบวก ส่งตามกำหนดเพียงเท่านี้ก็จบ
เมินทำแก่นสาร
ทำแบบขอไปทีแบบนี้ มันก็ด้อยคุณภาพ แก่นสารไม่อยู่ในสายตา ทำได้อย่างไร? (เจ้าของโครงการถาม)
กิจกรรมมากเกินจนเมามาย ครองสติไม่ได้ จะไปรู้ได้อย่างไรว่า อันไหนสาระ อันไหนอสาระ ที่ทำไปมีเอกสารรับรองว่าได้ทำแล้ว ก็ดีแล้ว จะเอาดีเลิศประเสริฐศรีกว่านี้ ฉันเป็นคนนะ ไม่ใช่เครื่องจักร คนสั่งให้ทำโน่นนี่ คงเมานะ เชื้อเมาเลยติดมาถึงฉัน ทำให้ฉันเมาทุกวัน (คนทำกิจกรรมตอบ)
มิใช่เมาเหล้า มิใช่เมารัก แต่เมากิจกรรมที่ทำตามคำสั่ง
ทำอะไรไม่พอดี พองาม อยากได้แต่ผลงาน เอาไปอ้างกันว่าฉันเก่ง ฉันขยัน ฉันทำดี ฉันเลิศ (สมควรได้หลายๆ ขั้น ได้เลื่อนตำแหน่งสูงๆ)
เราทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นครู และเป็นศิษย์
ศิษย์ย่อมมีครู
ครูสูงสุดของเราที่เรียกว่า “บรมครู” คือพระพุทธเจ้า ท่านสอนว่า...
“วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน-เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ”
คนที่ถึงพร้อมหรือสมบูรณ์ด้วยความรู้และความประพฤตินั้น ถือว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ทั้งในหมู่มนุษย์และเทวดา
นี่คือเป้าหมายของการศึกษา เป้าหมายของทุกโครงการ เป้าหมายของทุกกิจกรรม เป้าหมายของทุกหมู่บ้าน เราต้องตั้งไว้ให้สูงสุด ไปได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
เป้าหมายสูงสุดเช่นนี้ อยู่ที่จุดศูนย์กลาง ส่วนกิจกรรมซึ่งมีวิธีแตกต่างกันไป อยู่ที่เส้นรอบวงที่สุดทุกกิจกรรมก็ไปถึงจุดศูนย์กลาง เฉกเช่น แม่น้ำทุกสายไหลไปรวมกันที่มหาสมุทรด้วยกันทั้งนั้น
จริงๆ แล้วเปล่าเลย การศึกษาที่สถานศึกษา และหมู่บ้าน ยังเล่นยังเมาอยู่ที่เส้นรอบวง ยังหลับยังฝันอยู่เหมือนเดิม หัดมองตัวเองบ้าง มองคนอื่นบ้าง ก็อาจถึงบางอ้อสบายๆ
ขยะเต็มบ้าน
“ขยะ” หรือ “ขี้ฝอย” คือส่วนเหลือใช้จากฝีมือมนุษย์
ถ้าสิ่งไม่ดีหรือผลร้าย ที่เหลือเดนตกค้างมาจากอดีต เรียกว่า “ขยะประวัติศาสตร์”
ถ้าเป็นคนเลวหรือส่วนเลวที่สังคมไม่ปรารถนา เรียกว่า “ขยะสังคม”
ทุกวันนี้ขยะเต็มบ้านเต็มเมืองจนกลายเป็น “ขยะโลก”
ตามธรรมดาของมนุษย์ ชอบซื้อสิ่งของที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว ชอบซื้อสิ่งไม่จำเป็นมากกว่าสิ่งจำเป็น นั่นคือ...นิยมซื้อขยะ ตามกระแสโลกโฆษณา ทำให้รกบ้านรกเรือน แต่ละห้องอัดแน่นไปด้วยขยะ เบียดเบียนที่พักผ่อนหลับนอน
นั่นเพียงขยะวัตถุ และยังมีอีกขยะที่หนักกว่า คือขยะใจ หรือขยะภายใน จนหาความสงบไม่ได้ หาบ้านไม่เจอ
หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านกล่าวว่า... “บ้านที่แท้จริงของเรา คือความรู้สึกที่มันสงบ ความสงบนั่นแหละ คือบ้านที่แท้จริงของเรา”
ทุกวันนี้ บ้านราคาต่ำกว่าล้านอยู่ไม่ได้ มันเหม็นสาบ ต้องสร้างราคาร้อยล้านพันล้าน จึงจะสมหัวโขนที่สวมใส่ แต่บ้านดังกล่าวก็หาความสงบไม่ได้ มีแต่ฝันและหลับใหลทั้งกลางวันและกลางคืน
โถ...เพื่อนร่วมโลกผู้น่าสงสาร ของดีมีอยู่แล้วที่ตัวเอง กลับไม่สนใจ ทะเยอทะยานใฝ่หาขยะ ทั้งขยะภายนอกและขยะภายในมาทับถมตัวเอง แล้วก็ครวญคราง ทุกข์หนอๆๆ อยากหลุดพ้นจากทุกข์เหลือเกิน เทวดาฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยด้วยๆๆ
สืบสานหลับยืน
ตราบใดที่เรายังเห็นผิดเป็นถูกอยู่ เห็นความมืดเป็นความสว่างอยู่ ก็ป่วยการที่จะชี้แนะอะไร คงปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของสัตว์โลก
ผู้มีอำนาจวาสนาดี ได้ปกครองบ้านปกครองเมืองทั้งหลาย มักพูดเสมอว่า...
“อยากให้ความขัดแย้งหมดไปจากสังคม ความปรองดองสมานฉันท์ก็จะเกิดขึ้น” นับว่าเป็นความปรารถนาที่ดี แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ มันอาจเป็นไปได้ยามฝันยามหลับเท่านั้น
“เราไม่ขัดแย้งกับโลก แต่โลกย่อมขัดแย้งกับเรา”
นั่นคือ อมฤตพจนา ของพระพุทธเจ้า
ความขัดแย้งเป็นธรรมดาของโลก ยาที่จะพอแก้ความขัดแย้งได้ก็คือ ความเสมอภาคเท่าเทียมกันของผู้คน ผู้นำผู้ที่มีอำนาจต้องตรงไปตรงมา ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ปากว่าตาขยิบ ไม่มือถือสาก ปากถือศีล ไม่มุสาเป็นสรณะ เห็นคนเป็นคน ฯลฯ
ผู้นำผู้มีอำนาจทั้งหลาย ทำได้หรือเปล่า ถ้าทำได้ก็พอแก้ไขได้
ถ้าผู้นำผู้มีอำนาจ ไม่กล้าทำก่อน เราก็จะอยู่ไปอย่างนี้ ขยะเต็มบ้าน สืบสานหลับยืนต่อไป ยันลูกหลานเหลนโหลนต่อไปๆๆ ไม่สิ้นสุด
เห็นแล้วเป็นอย่างไร?
ไม่เป็นอย่างไร เพราะนั่นคือความจริง ตามที่มันเป็น
ชีวิตมีสองมิติ คือหลับยืน และตื่นรู้ ถ้าพลังตื่นรู้อ่อน หลับยืนหรือหลับใหลก็ครองตน หากหลับยืนอ่อน ตื่นรู้แข็ง ตื่นรู้ก็จะครองตน ตถตา-เช่นนั้นเอง
“เมากิจกรรม
เมินทำแก่นสาร
ขยะเต็มบ้าน
สืบสานหลับยืน”
ใครๆ ก็อยากให้สังคมนี้ ประเทศนี้ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงพยายามคิดโครงการต่างๆ กิจกรรมต่างๆ ขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนแปลงผู้คน และสังคมบ้านเมือง
ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง คนอื่นเปลี่ยนแปลงเราไม่ได้ เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ คนหลับเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นอกจากคนตื่นเท่านั้น จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
ปัญหาอยู่ที่ว่า...คุณตื่นหรือยัง?