xs
xsm
sm
md
lg

ศักราชใหม่แห่งโลกยุคหลายขั้วอำนาจ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท

นิกกี เฮลี
เจอกับนายกฯ ท่าน “ร่ายกลอน” ขึ้นมาอีกซะแล้ว...จะวกกลับมาพูดเรื่องบ้านเรื่องเมือง มันเลยออกจะครั่นเนื้อครั่นตัวยังไงก็มิอาจทราบได้ เอาเป็นว่า...เริ่มต้นสัปดาห์นี้ แฉลบไปดูเรื่องโลก เรื่อง “แก๊งยันหว่างแห่งคาบสมุทรเกาหลี” โน่นเลยดีกว่า เพราะเห็นว่า “ทรัมป์บ้า” เริ่มออกอาการเงื้อๆ ง่าๆ ขึ้นมาอีกบ้างแล้ว หลังจากที่เคยเงื้อแล้ว เงื้ออีก ก่อนจะหันไปเอา “มือซุกหีบ” กันตามสภาพ...

คือถึงแม้ว่าตัวประธานาธิบดี รัฐมนตรีกลาโหม ตลอดจนทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ อย่างคุณ “นิกกี เฮลี” (Nikki Haley) จะออกมาส่งเสียงคำรามแบบคอรัส-รัดคอถึงความเป็นไปได้ในการใช้ “ศักยภาพทางทหาร” อเมริกัน ที่ถือเป็น “เครื่องจักรสังหารที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในโลก” เข้าเล่นงานแก๊งยันหว่างที่มี “คิมน้อย” เป็นหัวโจก ให้จะจะ จังๆ ไปซะที หลังจากการทดสอบขีปนาวุธ “ฮวาซอง-14” ของเกาหลีเหนือเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่เพียงแสดงให้เห็น “ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด” เท่านั้น แต่ด้วยตัวจรวดที่ผาดโผนขึ้นสู่ฟากฟ้าในระดับความสูงถึงกว่า 2,800 กิโลเมตร ใช้เวลาร่อนไป-ร่อนมาไม่น้อยกว่า 40 นาที ย่อมถือเป็นการพิสูจน์ทราบให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า เกาหลีเหนือทุกวันนี้...ได้มีขีปนาวุธระดับ “ICBM” (Intercontinental Ballistic Missile) หรือระดับ “ข้ามทวีป” เอาไว้ในมือเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว สามารถนำไปหย่อนใส่หัวกบาลของชาวอเมริกันไม่ว่าในรัฐอลาสกา หรือรัฐฮาวาย ฯลฯ ได้ทุกเมื่อ...
ขีปนาวุธฮวาซอง-14
แต่การหันไปใช้อำนาจทางทหารเล่นงานเกาหลีเหนือนั้น...ย่อมถือเป็นเรื่อง “ไม่ง่าย” อยู่แล้วแน่ๆ ไม่งั้น...เรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำของสหรัฐฯ ที่เคยถูกส่งไปยังน่านน้ำเกาหลีก่อนหน้านี้ คงไม่หันไปทอดแห หาปลา จับกุ้ง ตกหมึก จนแทบไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันติดมือกลับมาด้วยเลย ต้องแล่นกลับอู่ใคร-อู่มันอย่างเงื่อยๆ หงอยๆ ไปตามสภาพ พูดง่ายๆ ว่า...แม้ว่ารัฐบาลอเมริกันไม่ว่าตั้งแต่ตัวประธานาธิบดี รัฐมนตรีกลาโหม ล้วนมั่นอก-มั่นใจว่าถ้าลองเปิดศึกกับเกาหลีเหนือแล้ว ยังไงๆ...กองทัพอเมริกันย่อมต้องเหนือกว่า ต้องเอาชนะได้อยู่แล้วแน่ๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า...มันจะคุ้มค่า ราคากับต้นทุนที่ต้องใช้ไปกับสงครามครั้งนี้มาก-น้อยขนาดไหน หรือไม่ เพียงใด...

แม้แต่การใช้กรรมวิธีโจมตีแบบเฉพาะจุด หรือที่เรียกๆ กันในภาษาทางทหารว่า “Surgical Strike” คือบินไปถล่มจุดที่คิดว่าเป็นที่ซุกซ่อนขีปนาวุธแต่ละชนิด คลังอาวุธ โรงงานผลิตอาวุธแบบไม่ถึงกับต้องส่งผลลุกลามถึงพื้นที่ใกล้เคียง หรือพื้นที่สาธารณะต่างๆ ก็ยังแทบมองไม่เห็น “ความเป็นไปได้” เอาเลยแม้แต่น้อย อย่างที่ “บรูซ เบนเนตต์” (Bruce Bennett) ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือแห่งบริษัทวิจัยทางทหารระดับโลก คือบริษัท “Rand Corp.” ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว “เอ.พี.” เอาไว้นั่นแหละว่า... “การโจมตีแบบนี้ต้องมีการข่าวที่แม่นยำจริงๆ ต้องรู้ว่าคลังอาวุธ จรวดของเกาหลีเหนือนั้น ซุกซ่อนเอาไว้ที่ไหนบ้าง ซึ่งปัจจุบัน...เรายังแทบไม่รู้ และถึงรู้ก็เถอะ ยังต้องใช้เวลานับเป็นสัปดาห์ๆ ถึงจะถล่มได้หมด และนั่นย่อมทำให้เกาหลีเหนือมีเวลาพร้อมที่จะตอบโต้ได้เสมอๆ ชนิดอาจส่งผลให้พื้นที่ใกล้เคียงอย่างกรุงเซอูล กลายเป็นทะเลเพลิงได้โดยทันที...”

พูดง่ายๆ ว่า...แม้ยังไม่ถึงกับน่าขนหัวลุกมากมายซักเท่าไหร่ ว่าเกาหลีเหนือจะมีขีดความสามารถพอที่จะถล่มรัฐอลาสกา หรือรัฐฮาวายด้วยขีปนาวุธพิสัยไกลระดับ “ICBM” ได้จริงๆ หรือไม่ แต่แค่ขีปนาวุธระดับพิสัยกลาง พิสัยใกล้ ที่ไม่รู้ว่าหัวหน้าแก๊งยันหว่างอย่าง “คิมน้อย” ซุกเอาไว้ ณ ที่ไหนต่อที่ไหนบ้าง ย่อมสามารถทำให้ทหารอเมริกันจำนวนกว่า 28,000 นายที่ประจำอยู่ในเกาหลีใต้ รวมทั้งพลเรือนชาวอเมริกันอีกไม่น้อยไปกว่า 300,000 คน แค่เฉพาะอยู่ในกรุงเซอูลเพียงเมืองเดียว มีสิทธิเด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะเท่งทึงได้ชนิดระเนนระนาด หรือทำให้สิ่งที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ “นายจิม แมตทิส” เรียกว่า “สภาวะกลียุค” ย่อมต้องอุบัติตามมาอย่างไม่มีข้อสงสัย อันเป็นสภาวะที่อดีตนายพลผู้นี้เน้นเอาไว้ด้วยว่า... “มันอาจนำความเสียหายต่อชีวิตมนุษย์ ได้มากกว่าเท่าที่เคยประสบพบเห็นนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1953 (สงครามเกาหลี)เสียอีก...”
จิม แมตทิส
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้ “ทรัมป์บ้า” ต้องออกไปทาง “จืดสนิท” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ และทำให้ความเป็นไปได้ของการใช้มาตรการทางทหารเล่นงานเกาหลีเหนือ ยิ่งต้องลดระดับลงเหลือแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แต่ครั้นหันไปใช้มาตรการทางการเมือง หรือการทูต อเมริกายุคนี้...ก็ดันเป็นอเมริกายุค “โฮม อโลน” ที่ต้องนั่งปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้างหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ที่นับวันชักจะมีบทบาทมาแรง แซงโค้ง ล้ำหน้ารัฐบาลอเมริกันในเวทีนี้มากยิ่งขึ้นทุกที ก็ดันเป็น “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีนและรัสเซีย ที่ตามหายใจรดต้นคออเมริกาในทุกๆ เวที ยิ่งในเวที “G-20” ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่วันนี้ ภาพความสมัครสมานกลมเกลียวระหว่างจีนและรัสเซีย โดยมียุโรปแทบทั้งยุโรปเริ่มหันมาร่วมด้วย ยิ่งเป็นตัวตอกย้ำให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า...โลกในยุค “มหาอำนาจขั้วเดียว” ได้ “พ้นสมัย” ไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว หรืออาจถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของโลกแห่งยุค “หลายขั้วอำนาจ” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย...
กำลังโหลดความคิดเห็น