อาจเรียกว่าเป็นฝันร้ายของผู้นำสหรัฐฯ เลยก็ว่าได้ เมื่อเกาหลีเหนือประสบความสำเร็จในการยิงขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (Inter-continental ballistic missile - ICBM) ที่ว่ากันว่าโจมตีได้ถึง “รัฐอะแลสกา” ทำให้แผ่นดินสหรัฐฯ ตกอยู่ในข่ายเสี่ยงภัยนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนืออย่างแท้จริง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เหลือทางเลือกไม่มากนักที่จะรับมือกับภัยคุกคามครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ “จีน” ยังนิ่งเฉย
ทรัมป์ ประกาศกร้าวก่อนสาบานตนเป็นผู้นำสหรัฐฯ ว่าจะ “ไม่มีวัน” ปล่อยให้เกาหลีเหนือสร้างอาวุธมหาประลัยมาโจมตีแผ่นดินอเมริกาได้เป็นอันขาด แต่ล่าสุดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยอมรับแล้วว่า จรวดที่โสมแดงยิงทดสอบในวันชาติสหรัฐฯ 4 ก.ค.ปีนี้จัดเป็น “ขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป” จริงตามคำโฆษณา
สำนักข่าว KCNA ของเกาหลีเหนือรายงานว่า จรวด “ฮวาซอง-14” พุ่งแหวกอากาศขึ้นไปถึงระดับความสูง 2,802 กิโลเมตรจากพื้นโลก และไปตกในทะเลญี่ปุ่นไกลจากฐานยิงประมาณ 933 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทาง 39 นาที
จากข้อมูลตัวเลขที่เปิดเผยนี้ นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า ขีปนาวุธของเกาหลีเหนืออาจมีพิสัยเดินทางไกลกว่า 8,000 กิโลเมตรหากยิงในวิถีมาตรฐาน ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ
จอห์น สกิลลิง ผู้เชี่ยวชาญขีปนาวุธจากกลุ่มเฝ้าระวังเกาหลีเหนือ 38 North ยอมรับว่า การยิงทดสอบครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่พวกเขาคิด และยัง “ประสบความสำเร็จเกินคาด” อีกด้วย ซึ่งหลังจากนี้เปียงยางอาจต้องการเวลาอีกเพียง 1-2 ปีในการปรับปรุงจรวด ICBM ให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานจริงขั้นต่ำสุด (minimal operational capability)
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ICBM ที่มีประสิทธิภาพเชื่อถือได้นั้นจะต้องใช้หัวรบนิวเคลียร์ขนาดเล็กติดตั้งลงบนจรวดพิสัยไกล และต้องมีเทคโนโลยีในการป้องกันความร้อนสูงระหว่างที่จรวดย้อนกลับสู่ชั้นบรรยากาศโลก (re-enter) ตลอดจนควบคุมหัวรบให้พุ่งไปโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
ผู้นำ คิม จองอึน ออกมาคุยโขมงว่า การทดสอบครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเกาหลีเหนือมีศักยภาพด้านอาวุธทางยุทธศาสตร์เข้าขั้นสมบูรณ์แบบ คือมีทั้งระเบิดปรมาณู, ระเบิดไฮโดรเจน และขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปอยู่ในครอบครอง และจรวด ICBM รุ่นนี้ก็สามารถติดตั้ง "หัวรบนิวเคลียร์ขนาดใหญ่" ได้ด้วย
คิม ยังประกาศกร้าวว่าจะไม่เจรจากับสหรัฐฯ เรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยเด็ดขาด หากวอชิงตันไม่เลิกใช้นโยบายก้าวร้าวกับเกาหลีเหนือเสียก่อน
“ท่านผู้นำกล่าวต่อคณะเจ้าหน้าที่ นักวิทยาศาสตร์ และช่างเทคนิคด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า สหรัฐฯ คงจะขุ่นเคืองใจไม่น้อยเมื่อได้เห็น ‘แพ็กเกจของขวัญ’ ที่เกาหลีเหนือมอบให้ในวันประกาศเอกราช” KCNA รายงาน พร้อมระบุอีกว่า คิม สั่งการให้กองทัพ “ส่งของขวัญทั้งใหญ่และเล็กไปให้พวกแยงกี้บ่อยๆ”
สหรัฐฯ เริ่มหมดหวังที่จะกล่อมจีนให้ช่วยบีบคั้นเกาหลีเหนือ โดย ทรัมป์ ถึงกับพูดออกสื่อเมื่อเดือนที่แล้วว่าความพยายามของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นั้น “ล้มเหลว” ทว่าหลังจากที่โสมแดงยิงขีปนาวุธครั้งล่าสุด ผู้นำสหรัฐฯ ก็โพสต์ทวิตเตอร์เรียกร้องอีกครั้งให้ปักกิ่งตัดสินใจ “ใช้ไม้แข็งยุติการกระทำไร้สาระเหล่านี้เสียที”
สหรัฐฯ เพิ่งจะยั่วโทสะปักกิ่งด้วยการอนุมัติขายอาวุธให้แก่ไต้หวันเป็นมูลค่าถึง 1,400 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังประกาศคว่ำบาตรพลเมืองจีน 2 รายและบริษัทเดินเรือจีนอีกแห่งหนึ่งฐานมีส่วนสนับสนุนโครงการนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ และยังกล่าวหาธนาคารจีนว่าช่วยโสมแดงฟอกเงิน
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานเมื่อวันจันทร์ (3 ก.ค.) ว่า ทรัมป์ เพิ่งจะโทรศัพท์บอกสี จิ้นผิง ว่า สหรัฐฯ อาจลงมือจัดการกับเกาหลีเหนือด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งจีน
นอกจากเข้าหาปักกิ่งแล้ว ทรัมป์ ยังแสวงหาความร่วมมือจากผู้นำเกาหลีใต้คนใหม่ โดยได้เชิญประธานาธิบดีมุน แจอิน ไปเยือนทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ ยังเคยกล่าวชม คิม จองอึน ว่าเป็น “เด็กฉลาด” (smart cookie) และประกาศว่าตนรู้สึก “เป็นเกียรติ” ที่จะพบกับผู้นำหนุ่มรายนี้ ขอแต่เพียงโสมแดงยอมล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์เท่านั้น
อดัม เมานท์ นักวิเคราะห์จากศูนย์เพื่อความก้าวหน้าอเมริกันว่าด้วยนโยบายนิวเคลียร์และกลาโหม (Center for American Progress for Nuclear and Defense Policy) ระบุว่า การคว่ำบาตรอาจไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นนับจากนี้
“มาตรการกดดันเพื่อขู่ไม่ให้เกาหลีเหนือข้ามเส้นนั้นไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เส้นได้ถูกข้ามไปแล้ว และการปลดอาวุธนิวเคลียร์ย่อมเป็นไปไม่ได้ นี่คือความล้มเหลวเชิงนโยบายของสหรัฐฯ”
“สิ่งที่เราพอจะหวังได้ขณะนี้ก็คือ ป้องปราม ควบคุม จำกัด และปฏิรูประบอบการปกครองเกาหลีเหนือในระยะยาว”
สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ได้ยิงขีปนาวุธชุดใหญ่ไปตกนอกชายฝั่งคาบสมุทรเกาหลีในวันพุธ (5) เพื่อโชว์ศักยภาพในการ “ยิงถล่มที่แม่นยำ” ให้เปียงยางได้ประจักษ์ แต่ถึงกระนั้นผู้บัญชาการทหารอเมริกันก็ยอมรับว่า การเผชิญหน้าทางทหารกับโสมแดงมีความเสี่ยงสูงเกินไป
เจมส์ แมตทิส รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อเดือน พ.ค. ว่า สงครามเต็มรูปแบบกับเกาหลีเหนือจะนำมาซึ่งความสูญเสียร้ายแรงไม่ต่างจากสงครามเกาหลีในทศวรรษ 1950
“เกาหลีเหนือมีทั้งปืนใหญ่และขีปนาวุธที่อาจสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้แก่กรุงโซล ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งในโลก” แมตทิส ระบุ
แม้สหรัฐฯ จะส่งระบบป้องกันขีปนาวุธในบรรยากาศชั้นสูง (THAAD) เข้าไปในแดนโสมขาวเพื่อช่วยสกัดภัยคุกคามจากจรวดเกาหลีเหนือ แต่นั่นกลับเป็นสาเหตุให้โซลถูกจีนใช้มาตรการแก้แค้นทางเศรษฐกิจ จนประธานาธิบดี มุน ต้องตัดสินใจสั่งระงับติดตั้ง THAAD เอาไว้ชั่วคราว
เจฟฟรีย์ ลูอิส นักวิจัยจากสถาบันระหว่างประเทศศึกษามิดเดิลบิวรีในรัฐแคลิฟอร์เนีย ชี้ว่า สิ่งที่สหรัฐฯ ควรทำหลังจากนี้ก็คือเกลี้ยกล่อมไม่ให้ผู้นำคิมงัดขีปนาวุธรุ่นใดๆ ออกมา “ยิงอย่างตั้งใจ”
“เราควรหาวิธีลดความตึงเครียดและเพิ่มการป้องปรามไปพร้อมๆ กัน ซึ่งระบบป้องกันขีปนาวุธก็เป็นทางเลือกหนึ่ง” เขากล่าว