xs
xsm
sm
md
lg

สหรัฐฯ กร้าว! ขู่จะเล่นงานเกาหลีเหนืออีกแล้ว

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

<b>นิกกี เฮลี ทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ</b>
เอาละวา! ชาวโลกต้องหายใจไม่ทั่วท้องอีกแล้ว โดยเฉพาะคนเกาหลีใต้และญี่ปุ่น หลังจากได้ยินทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ นิกกี เฮลี ได้ประกาศก้องที่ยูเอ็นว่าสหรัฐฯ พร้อมจะใช้สรรพกำลังแสนยานุภาพทุกด้านและความสามารถทางทหารเพื่อจัดการกับเกาหลีเหนือ

เฮลีเตือนว่าสหรัฯ จะทำเช่นนั้นเพื่อปกป้องตนเองและพันธมิตรหลังจากเกาหลีเหนือได้ขยายความตึงเครียดในสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ทั้งยังเตือนจีนและประเทศอื่นๆว่าสหรัฐฯ อาจจะไม่ทำมาค้าขายด้วยถ้ายังไม่เลิกให้การช่วยเหลือและสนับสนุนเกาหลีเหนือ

นี่เป็นการประกาศอย่างจริงจังเข้มข้นครั้งแรก หลังจากเกาหลีเหนือได้โชว์ศักยภาพว่ามีขีดความสามารถในการยิงจรวดขีปนาวุธข้ามทวีปไปได้ไกลกว่า 5,500 กม. หรือถึงรัฐอลาสกาของสหรัฐฯ นับเป็นครั้งแรกที่มีการยอมรับว่าเกาหลีเหนือได้พัฒนาไปได้อีกก้าว

เมื่อเห็นผลการทดลองซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นขีปนาวุธรุ่นใหม่ จึงมีการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงเพื่อหามาตรการตอบโต้เกาหลีเหนือ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการขยายความตึงเครียดในการเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรกับเกาหลีเหนือใกล้จะถึงจุดระเบิด

ทูตเฮลียังเตือนอีกว่าหนึ่งในบรรดาสรรพกำลังความสามารถหลากหลายของสหรัฐฯ นั้นคือขีดความสามารถในทางทหารซึ่งมีไม่น้อย และพร้อมจะใช้มันเพื่อปกป้องตนเองถ้าจำเป็นต้องทำ แต่จะไม่พิจารณาใช้ หรือเลือกวิถีทางนั้นถ้าไม่มีเงื่อนไขจำเป็นบังคับ

นอกจากนั้นเธอยังบอกว่าทั้งโลกควรต้องตระหนักถึงความจำเป็นในการตอบโต้เกาหลีเหนือด้วยมาตรการมากกว่าที่เป็นอยู่ ในด้านการทูตและทางเศรษฐกิจ และยังเตือนประเทศต่างๆ ว่าอย่าทำให้มติของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติต้องไร้ผล

เท่ากับว่าการแสดงแสนยานุภาพของเกาหลีเหนือทำให้ประชาคมโลกได้รับรู้ว่าต้องมีมาตรการใหม่ แม้ขณะนี้หลายประเทศยังทำมาค้าขายกับเกาหลีเหนือ ทั้งๆ ที่เป็นการขัดกับมติของคณะมนตรีความมั่นคงในการคว่ำบาตรทางการค้ากับเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน

“ประเทศเหล่านั้นยังอยากขยายและสนับสนุนการค้ากับเกาหลีเหนือ และต้องการทำมาค้าขายกับสหรัฐฯ ด้วย พฤติกรรมแบบนี้ไม่มีทางทำได้อีกต่อไป” ทูตเฮลีเตือน ทั้งยังระบุด้วยว่าจีนเป็นตัวหลัก เพราะ 90 เปอร์เซ็นต์ของยอดการค้าของเกาหลีเหนือมีกับจีน

เฮลียังบอกว่าจีนเป็นอุปสรรคในการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ สหรัฐฯ ก็ยังจะทำอะไรต่ออะไรกับจีน แต่ว่ามาตรการต่างๆ ที่ใช้อยู่จะไม่เหมือนเดิม เหมือนกับชี้ว่าการทำเหยาะแหยะไม่จริงจังกับจีนนั้น ทำให้สหรัฐฯ ต้องมาเผชิญกับสภาพเช่นปัจจุบัน

วันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ส่งข้อความในทวิตเตอร์ อ้างว่าการค้าขายระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือขยายตัวกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่ 1 แต่ก็ยังยืนยันว่าต้องพูดคุยเจรจากับจีนเหมือนเดิม ด้วยการลองมาตรการและแนวทางใหม่

เกาหลีเหนือกับจีนมีพรมแดนติดกันและจีนก็รับบทเป็นพี่เอื้อยปกป้องดูแลเกาหลีเหนือเพื่อคงอิทธิพลไว้ระดับหนึ่ง เกาหลีเหนือต้องพึ่งจีนเพราะไม่มีชาติอื่นพร้อมจะค้าขายได้เต็มรูปแบบเพราะยังถูกกฎเข้มด้านมาตรการคว่ำบาตรขององค์การสหประชาชาตินั่นเอง

เกาหลีเหนือยังมีความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซีย ซึ่งมีพรมแดนติดกับเกาหลีเหนือด้านติดกับทะเล ดังนั้นทั้ง 2 มหาอำนาจจึงถูกมองว่าเป็นตัวปกป้องเกาหลีเหนือเพราะเป็นอยู่ในคณะมนตรีความมั่นคงมีอำนาจด้านการบังคับใช้มาตรการต่างๆ เล่นงานเกาหลีเหนือ

ก่อนหน้านั้นเกาหลีเหนือล้มเหลวบ้าง สำเร็จบ้างในการทดสอบการยิงขีปนาวุธ ทั้งมีเสียงหัวเราะ ไม่เชื่อว่าจะเป็นของจริง แต่หลังจากการทดลองครั้งล่าสุด ขีปนาวุธทำงานได้ตามเป้าหมาย ก็ทำให้หลายประเทศที่เกี่ยวกับความขัดแย้งเริ่มแสดงความกังวลกว่าเดิม

รัสเซียเองยังบอกว่าขีปนาวุธของเกาหลีเหนืออาจไม่มีพลังขนาดนั้น แม้ว่าการประเมินได้บ่งชี้ว่าการยิงไปได้ไกลขนาดนั้นถือว่าเป็นยิงจรวดข้ามทวีปได้ ทั้งรัสเซียและจีนมีแนวคิดวิธีการของตนเองในความพยายามหาทางออกเรื่องทดลองจรวดของเกาหลีเหนือ

ทั้ง 2 ประเทศมีความเห็นและจุดยืนร่วมกันว่ามาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือไม่ใช่เป็นยาครอบจักรวาลทางการเมืองที่จัดการปัญหาเกี่ยวโยงกับเกาหลีเหนือได้สำเร็จ ทางจีนก็มองว่าการที่สหรัฐฯ นำระบบจรวด “ธาด” เข้าไปไว้ในเกาหลีใต้ทำให้เกิดปมขัดแย้งซับซ้อน

ระบบต่อสู้จรวดของสหรัฐฯ นั้นทำให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงของจีน ซึ่งมองว่าเป็นการคุกคาม และไม่ใช่วิธีทำให้คาบสมุทรเกาหลีเป็นพื้นที่ปลอดอาวุธนิวเคลียร์ ประเด็นนี้อาจถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อหารือในการประชุมกลุ่ม จี-20 ซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้วที่เมืองฮัมบูร์ก

ปัญหาเรื่องเกาหลีเหนือได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและรัสเซียกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม มีจุดยืนและการพูดเป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งได้มีให้เห็นช่วงการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และผู้นำจีน สี จิ้นผิง ก่อนไปเข้าร่วมประชุม จี-20

ทั้ง 2 ประเทศยังร่วมประณามบทบาททางทหารของสหรัฐฯ ในพื้นที่คาบสมุทรเกาหลี มองว่าสหรัฐฯ ทำตัวเป็นภัยด้วยการสำแดงพลัง และความทะเยอทะยานเป็นผู้มีอำนาจในพื้นที่ซึ่งเป็น “หลังบ้าน” ของรัสเซียและจีนทำให้เกิดสภาวะเสี่ยงต่อการถูกปิดล้อม

ไม่ใช่เฉพาะประเด็นเกาหลีเท่านั้น รัสเซียและจีนยังมีจุดยืนร่วมกันในเรื่องอิหร่านและซีเรีย ทำให้เกิดเบ้าหลอมแห่งความสัมพันธ์แนบแน่นในกลุ่มพันธมิตรนี้ เป็นชนวนแห่งความขัดแย้งกับสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศยุโรปซึ่งมีบทบาทสำคัญในวิกฤตสงครามซีเรีย

ทางการค้าก็ไม่น้อย จีนเป็นประเทศที่บริโภคพลังงานอันดับต้นๆ ของโลก มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด ส่วนรัสเซียเป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ ทำให้เกิดความสัมพันธ์แข็งแกร่งแม้จะมีความระแวงกันอยู่ลึกๆ ว่าจีนมุ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลในการค้าของโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น