จากความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีหลังสหรัฐฯ ยิงขีปนาวุธร้ายแรงถล่มซีเรีย ด้วยระเบิดเอ็มโอเอบี (Massive Ordnance Air Blast) หรือเจ้าแม่แห่งระเบิด (Mother of all bombs) โดย นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้ประกาศว่าเกาหลีเหนือ จะทำการทดสอบทางนิวเคลียร์ในทุกๆ สัปดาห์ ส่งผลให้นานาประเทศต่างเตรียมการเฝ้าระวัง ตั้งรับการเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้สั่งการให้เรือบรรทุกเครื่องบินแล่นเข้าไปในคาบสมุทรเกาหลี และได้ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ (THAAD) ณ เกาหลีใต้ รวมทั้งมีการซ้อมทดสอบยิงจรวดขีปนาวุธไม่ติดหัวรบ (มินิทแมน 3) และมีการเจรจากับประเทศต่างๆ เพื่อขอให้ร่วมคัดค้านโครงการทดสอบทางนิวเคลียร์ และร้องขอให้ลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือ และล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐเห็นชอบต่อร่างกฎหมายเพื่อเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่
อีกทั้งจากความเคลื่อนไหวของอาเซียนเมื่อไม่นานมานี้มีการประชุม ASEAN Summit ที่ประชุมมีความเห็นที่จะร่วมมือขอให้เกาหลีเหนือ ปฏิบัติตามมติสหประชาชาติ ซึ่งท่าทีโดยรวมของอาเซียนคือ ไม่ต้องการให้มีการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ใดๆ ในคาบสมุทรเกาหลี และมีเจตนารมณ์ ที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี ส่วนท่าทีของประเทศไทยนั้นรัฐบาลไทยยินดีให้การสนับสนุนสหรัฐ ในการสร้างสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี
ด้าน ดร.อัจฉรา วงศ์แสงจันทร์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ปส. ได้ติดตามความเคลื่อนไหวดังกล่าว ร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) มั่นใจว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการเฝ้าระวัง และเตรียมรับสถานการณ์ทางนิวเคลียร์ที่อาจเกิดขึ้น โดยประเทศไทยมีสถานีเฝ้าตรวจนิวไคลด์กัมมันตรังสี (RN65) ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน จ.นครปฐม ซึ่งสามารถตรวจรู้ได้ทันทีหากมีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นทั่วโลก
“นอกจากนี้ ปส. ยังมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และเครื่องมือที่ทันสมัยพร้อมปฏิบัติการตามมาตรฐานสากลอย่างทันท่วงที ทั้งนี้ขอให้ประชาชนอย่าตกตระหนกจากข่าวสารที่เกิดขึ้น และขอให้เฝ้าติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวในกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักนโยบายและบริหารจัดการด้านพลังงานปรมาณู สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ โทรศัพท์ 02 596 7600 ต่อ 1123-1127