เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศลั่นในวันพฤหัสบดี (6 ก.ค.) จะเข้าเผชิญหน้ากับเกาหลีเหนืออย่าง “แรงมากๆ” ภายหลังการทดสอบขีปนาวุธล่าสุดของโสมแดงที่เป็นจรวดข้ามทวีป พร้อมกับเรียกร้องนานาชาติแสดงให้เปียงยางเห็นว่าจะเกิดผลต่อเนื่องติดตามมาจากโครงการอาวุธของพวกเขา คำพูดของเขาเป็นการสำทับเอกอัครราชทูตอเมริกันประจำยูเอ็นซึ่งกล่าวว่า พร้อมใช้กำลังทหารหากจำเป็น แต่ตอนนี้ยังต้องการผลักดันแนวทางการทูตก่อน
ขณะร่วมแถลงข่าวกับประธานาธิบดีอันดระเซจ ดูดา ของโปแลนด์ ที่กรุงวอร์ซอ ทรัมป์กล่าวว่าเกาหลีเหนือนั้นเป็น “ภัยคุกคาม และเราจะเผชิญหน้ากับมันอย่างแรงมากๆ” เขาบอกว่าสหรัฐฯกำลังพิจารณา “สิ่งต่างๆ ที่รุนแรง” เพื่อใช้กับโสมแดง
“...พวกเขากำลังประพฤติตัวในลักษณะที่อันตรายมากๆ และจะต้องอะไรกันบางอย่างแล้ว” เขากล่าว
ก่อนหน้านั้น นิกกี้ เฮลีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ ร่ายยาวในการประชุมฉุกเฉินคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เมื่อวันพุธ (5) ว่า การที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) เมื่อวันอังคาร (4) ทำให้โลกอันตรายยิ่งขึ้น และเป็นการยกระดับกิจกรรมทางทหารอย่างชัดเจน
ทูตอเมริกันประจำยูเอ็นสำทับว่า วอชิงตันพร้อมใช้ศักยภาพทั้งหมดที่มี ซึ่งรวมถึงกำลังทหาร เพื่อป้องกันตัวเองและพันธมิตร และอเมริกาพร้อมใช้ทางเลือกนี้หากจำเป็น เพื่อจัดการการคุกคามจากเปียงยาง
อย่างไรก็ดี เฮลีย์กล่าวชัดเจนว่า อเมริกาจะพยายามผลักดันมาตรการทางการทูต และจะเลือกการเผชิญหน้าเป็นวิธีสุดท้าย โดยจะเสนอร่างมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือฉบับใหม่ให้คณะมนตรี พิจารณาในเร็ววันนี้
เฮลีย์เสริมว่า แม้การกระทำล่าสุดของเปียงยางทำให้ความเป็นไปได้ในการหาทางออกทางการทูตปิดลงอย่างรวดเร็ว แต่นานาชาติยังมีช่องทางที่จะดำเนินการได้ทั้งด้านเศรษฐกิจและการทูต โดยเป้าหมายของอเมริกาคือ การเพิ่มบทลงโทษที่อาจครอบคลุมประเทศที่ยังค้าขายกับเกาหลีเหนือ ห้ามการส่งออกน้ำมันให้โสมแดง เพิ่มข้อจำกัดด้านการบินและการเดินเรือ รวมทั้งห้ามการเดินทางออกนอกประเทศของเจ้าหน้าที่เปียงยาง
ทูตสหรัฐฯยังเรียกร้องโดยตรงให้จีน ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักหนึ่งเดียวของเกาหลีเหนือและเป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินการทางการทูต ให้เพิ่มบทบาทในการกำราบเปียงยาง
อย่างไรก็ดี แม้มาตรการแซงก์ชันใหม่ของอเมริกาได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศส ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ชาติสมาชิกถาวรในคณะมนตรีฯ แต่ได้ถูกคัดค้านจากรัสเซีย สมาชิกถาวรอีกชาติที่มีอำนาจวีโต้เช่นเดียวกัน
วลาดิมีร์ ซาฟรอนคอฟ อัครราชทูตรัสเซียประจำยูเอ็น เตือนว่า การแซงก์ชันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา และมอสโกคัดค้านการใช้กำลังทหาร รวมทั้งต้องการให้อเมริการะงับการติดตั้ง “ทาด” ซึ่งเป็นระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูงในเกาหลีใต้
ด้านจีนยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องมาตรการแซงก์ชัน แต่หลิว เจียอี้ เอกอัครราชทูตจีนประจำยูเอ็น ประณามการทดสอบไอซีบีเอ็มของเปียงยางว่า เป็นการละเมิดมติยูเอ็นอย่างชัดเจนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ หลิวยังย้ำให้ทุกฝ่ายอดกลั้น และยืนยันข้อเสนอของปักกิ่งให้เกาหลีเหนือระงับโครงการขีปนาวุธและนิวเคลียร์ แลกเปลี่ยนกับอเมริกาและเกาหลีใต้ระงับการซ้อมรบขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีมุน แจอินของเกาหลีใต้ ที่สนับสนุนการฟื้นการเจรจากับเกาหลีเหนือ เรียกร้องนานาชาติเพิ่มมาตรการลงโทษโสมแดงเพื่อตอบโต้การยั่วยุร้ายแรงครั้งล่าสุด
ส่วนที่กรุงวอชิงตันในวันพุธ (5) นาวาเอกเจฟฟ์ เดวิส โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า อเมริกาสามารถต่อต้านภัยคุกคามอันจำกัดและอ่อนหัดจากไอซีบีเอ็มของเกาหลีเหนือได้ โดยอ้างอิงการทดสอบเมื่อเดือนที่แล้วที่ขีปนาวุธสกัดกั้นของอเมริกาสามารถสอยขีปนาวุธข้ามทวีปที่จำลองว่า เป็นการโจมตีจากเปียงยางสำเร็จ
กระนั้น จอห์น ชิลลิง ผู้เชี่ยวชาญด้านขีปนาวุธในอเมริกาและผู้สนับสนุนโครงการติดตามความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือที่ชื่อว่า 38 นอร์ท เชื่อว่า ระบบต่อต้านขีปนาวุธแห่งชาติของอเมริกายังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น และอาจต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปีในการยกระดับการป้องกันให้ไว้วางใจได้มากขึ้น
ในทางกลับกัน ชิลลิงระบุว่า การยิงขีปนาวุธข้ามทวีปของโสมแดงเมื่อวันอังคารเกิดขึ้นเร็วเกินคาด อีกทั้งประสบความสำเร็จเกินคาด และเชื่อว่า ภายใน 1-2 ปีนี้ เปียงยางจะพัฒนาไอซีบีเอ็มที่มีประสิทธิภาพการทำงานขั้นต่ำที่สุดสำเร็จ
ทั้งนี้ คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนืออวดอ้างว่า การทดสอบไอซีบีเอ็มประสบความสำเร็จด้วยดี และจรวดสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์หรือระเบิดไฮโดรเจนได้
สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของเกาหลีเหนือยังอ้างอิงคำประกาศของคิมว่า เปียงยางจะไม่เจรจาเพื่อยกเลิกโครงการอาวุธ เว้นแต่อเมริกาจะยุตินโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ก่อน
จากข้อมูลของเปียงยาง ขีปนาวุธฮวาซอง-14 ถูกปล่อยออกไปเป็นระยะทาง 900 กิโลเมตรก่อนตกลงในทะเลญี่ปุ่น โดยทำความสูงกว่า 2,800 กิโลเมตร
ฮัน มินคู รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ ระบุว่า หากยิงในแนววิถีปกติ ฮวาซองอาจไปได้ไกล 7,000-8,000 กิโลเมตร ซึ่งไกลพอโจมตีกองบัญชาการแปซิฟิกของสหรัฐฯ ในฮาวาย