เอเจนซีส์ - “โซล-วอชิงตัน” ระดมยิงทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้จากคาบสมุทรเกาหลีในวันพุธ (5 ก.ค.) โชว์ความแม่นยำและความพร้อมในการโจมตีศูนย์บัญชาการผู้นำโสมแดง ตอบโต้การทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป “ไอซีบีเอ็ม” ที่ คิม จองอึน อวดว่าสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์และพร้อมมอบเป็นของขวัญแก่แยงกี้เป็นระยะๆ ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนย้ำ คำแถลงร่วมสี จิ้นผิง-ปูติน” ต้องการสื่อว่านานาชาติควรเลือกการเจรจามากกว่าการแสดงความเป็นปรปักษ์ในการจัดการสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลี
การยิงทดสอบขีปนาวุธฮวาซอง-14 ของเกาหลีเหนือเมื่อวันอังคาร (4) ที่วอชิงตันยอมรับแล้วว่า เป็นขีปนาวุธข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) จริง ถือเป็นหลักชัยสำคัญอีกหลักหนึ่งในความพยายามยาวนานเป็นสิบๆ ปีของโสมแดง เพื่อบรรลุศักยภาพในการคุกคามแผ่นดินใหญ่อเมริกาโดยการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ และยังถือเป็นความท้าทายใหญ่หลวงสำหรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่เคยประกาศหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปีว่า จะไม่ยอมให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
ตามรายงานของสื่อทางการโสมแดง คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ประกาศหลังบัญชาการการทดสอบขีปนาวุธฮวาซอง-14 ด้วยตัวเองว่า “อเมริกันจอมวายร้าย”คงหัวเราะไม่ออกที่ได้รับของขวัญวันชาติชิ้นนี้ และหลังจากที่เขาหัวเราะออกมาดังลั่นแล้ว คิมยังสำทับต่อว่า จะส่ง “ของขวัญแก้เบื่อ” ให้อเมริกาเป็นระยะ และจะไม่ยอมเจรจาเพื่อเลิกล้มโครงการอาวุธเด็ดขาดจนกว่าวอชิงตันจะยุตินโยบายเป็นปฏิปักษ์ต่อเกาหลีเหนือ
ถึงแม้ยังมีคำถามเกี่ยวกับความแม่นยำ แต่สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการโสมแดงอวดว่า ฮวาซอง-14 เป็นจรวดที่มีท่อนบรรจุเชื้อเพลิงหลายท่อน หัวจรวดทำจากวัสดุผสมคาร์บอนที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ได้ ขณะที่การทดสอบยังแสดงให้เห็นว่า จรวดสามารถต้านทานสภาพรุนแรงระหว่างการกลับสู่ชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งรวมถึงอุณหภูมิสูงหลายพันองศาเซลเซียส และพุ่งเข้าสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ
แม้ฮวาซอง-14 ไปตกลงในทะเลญี่ปุ่น และรวมเป็นระยะทางบินก็มากกว่า 900 กิโลเมตรเล็กน้อย แต่ก่อนที่จรวดจะเคลื่อนไปข้างหน้านั้น ได้พุ่งขึ้นไปสูงกว่า 2,800 กิโลเมตร จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า หากยิงในแนววิถีปกติจะสามารถไปได้ไกลกว่านี้
ฮัน มินคู รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ระบุว่า ขีปนาวุธล่าสุดของโสมแดงมีพิสัย 7,000-8,000 กิโลเมตร ไกลพอที่จะโจมตีศูนย์บัญชาการแปซิฟิกของอเมริกาในฮาวายได้ และมีความเป็นไปได้สูงที่เกาหลีเหนือจะทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 เร็วๆ นี้
ขณะเดียวกัน จอห์น ชิลลิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านขีปนาวุธในอเมริกาและเป็นผู้สนับสนุนโครงการติดตามความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือที่ชื่อว่า “38 นอร์ท” ระบุว่า การทดสอบล่าสุดของเปียงยางเกิดขึ้นเร็วกว่าคาด รวมทั้งประสบความสำเร็จเกินคาด เขายังเชื่อว่า ภายใน 1-2 ปีนี้ โสมแดงจะสามารถพัฒนาไอซีบีเอ็มที่มีศักยภาพขั้นต่ำที่สุดออกมาได้สำเร็จ
พร้อมๆ กับที่นานาชาติพากันประณามการท้าทายครั้งล่าสุดจากเปียงยาง ทางด้านกองทัพเกาหลีใต้และอเมริกา ก็แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้จำนวนหนึ่งจากคาบสมุทรเกาหลีไปตกลงในทะเลญี่ปุ่นช่วงเช้าตรู่วันพุธ (5)
คณะเสนาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้แถลงว่า ขีปนาวุธเหล่านี้พุ่งเข้าสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการโจมตีศูนย์บัญชาการของศัตรูอย่างแม่นยำในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ด้านประธานาธิบดีมุน แจอินของเกาหลีใต้ ซึ่งแม้มีแนวทางสนับสนุนการโน้มน้าวให้เปียงยางกลับสู่โต๊ะเจรจา ก็ออกมาแถลงในวันพุธว่า การยั่วยุของโสมแดงบีบให้โซลต้องตอบโต้ด้วยวิธีการอื่นๆ นอกเหนือจากการออกคำแถลง
ขณะที่ พลเอกวินเซนต์ บรูคส์ ผู้บัญชาการกองกำลังร่วมอเมริกา-เกาหลีใต้ สำทับว่า การเลือกที่จะควบคุมตัวเอง คือเส้นแบ่งระหว่างการพักรบกับสงคราม และการทดสอบด้วยอาวุธจริงครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า พันธมิตรอเมริกา-เกาหลีใต้สามารถเปลี่ยนทางเลือกเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้นำของประเทศทั้ง 2 ทั้งนี้เกาหลีใต้กับสหรัฐฯเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคง โดยที่ปัจจุบันอเมริกาส่งทหารไปประจำการพื่อปกป้องเกาหลีใต้ 28,500 คน
ถ้อยแถลงเหล่านี้มีแนวโน้มสร้างความไม่พอใจให้เปียงยางที่ยืนกรานว่า ตนจำเป็นต้องมีอาวุธนิวเคลียร์เพื่อป้องกันตัวจากการรุกรานของอเมริกา ถึงแม้โสมแดงกำลังถูกลงโทษด้วยมาตรการแซงก์ชันหลายระลอกจากสหประชาชาติ สืบเนื่องจากการทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธหลายต่อหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา
การทดสอบขีปนาวุธของโซลและวอชิงตันคราวนี้ยังเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ผู้นำจีนและรัสเซียออกคำแถลงร่วมให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้น
ในวันพุธ (5) เกิ่ง ส่วง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า คำแถลงร่วมผู้นำจีน-รัสเซีย คือการบอกกล่าวว่า ประชาคมโลกนั้นต้องการการหารือ ไม่ใช่การแสดงความเป็นศัตรู ในเวลาเดียวกันนั้นเกิ่งก็เรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติการละเมิดมติของยูเอ็นด้วย
การที่พวกมหาอำนาจทำท่าไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการตอบโต้เกาหลีเหนือ มีแนวโน้มที่จะทำให้การหารือในการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นช่วงค่ำวันพุธ (5) ทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยก่อนหน้านี้ แอนโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการยูเอ็น ได้ออกคำแถลงประณามการทดสอบไอซีบีเอ็มของเปียงยางว่า ทำให้สถานการณ์อันตรายยิ่งขึ้น
เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก็กล่าวประณามในวันอังคาร (4) ว่า การทดสอบไอซีบีเอ็มของเปียงยางบ่งชี้ภัยคุกคามในระดับใหม่สำหรับอเมริกา บรรดาพันธมิตร และหุ้นส่วน และประกาศจะใช้มาตรการที่เด็ดขาดขึ้นกับเกาหลีเหนือ
ทิลเลอร์สันยังเตือนว่า ประเทศที่อ้าแขนรับแรงงานเกาหลีเหนือ ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหารต่อเปียงยาง และไม่ปฏิบัติตามมติแซงก์ชันของยูเอ็นนั้น เข้าข่ายช่วยเหลือและสนับสนุนรัฐอันตราย
ขณะที่ เจฟฟรีย์ ลูอิส ผู้เชี่ยวชาญด้านการห้ามแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์แสดงความเห็นว่า โอกาสในการเจรจาเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีสิ้นสุดลงแล้ว ประเด็นสำคัญคือ ตอนนี้อเมริกาต้องยอมรับว่า เกาหลีเหนือมีไอซีบีเอ็มอยู่ในครอบครอง